Page 165 - 23154_Fulltext
P. 165

160


                       นอกจากนั้นหากต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการของรัฐสภา วุฒิสภาเองก็เป็นปัจจัยส าคัญ

               ยิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้หรือไม่ เพราะว่าในหมวดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา
               194 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 แม้ว่ามาตรา 194 (1) จะก าหนดให้ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะสามารถ
               มาจากได้ทั้งคณะรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎรไม่ต่ ากว่า 1 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร ทว่าในการพิจารณาวาระ

               ที่ 1 และ 3 จ าเป็นต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกของทั้งสองสภา
                       ต่อมาในประการที่สาม ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างคณะรัฐมนตรีกับระบบรัฐสภา

               เนื่องจากเมื่อพิจารณาตั้งแต่ที่มาของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 146 มาตรา 148 และมาตรา 204 (3) ดังบัญญัติไว้
                              “มาตรา 146 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 14 คน

                       ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน”
                              “มาตรา 148 รัฐมนตรีจะเป็นข้าราชการซึ่งมีต าแหน่งหรือเงินเดือนประจ านอกข้าราชการ

                       การเมืองมิได้”
                              “มาตรา 204 ในวาระเริ่มแรกเมื่อใช้รัฐธรรมนูญนี้แล้ว

                              (3) มิให้น าบทบัญญัติมาตรา 148 มาตรา 149 เฉพาะการห้ามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 97 (1) และ
                       (3) และ มาตรา 167 มาใช้บังคับแก่การด ารงต าแหน่งของนายกรัฐมนตรีและข้าราชการการเมืองอื่น”

                       เมื่อพิจารณาผ่านมาตรา 146 และมาตรา 148 ในเบื้องต้น สามารถสังเกตได้ว่าที่มาของนายกรัฐมนตรี
               ไม่ได้ขึ้นกับความสัมพันธ์เชิงอ านาจระหว่างแต่ละพรรคการเมืองที่จะต่อรองกันภายในระบบรัฐสภาเพื่อเลือกตัว

               นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป หากแต่เป็นการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากพิจารณาจากภายใต้บริบททางการเมือง
               ขณะนั้นย่อมสังเกตได้ถึงอ านาจของกองทัพและระบบราชการที่ครองอ านาจน าในการต่อรองเลือกนายกรัฐมนตรี

               ดังเช่นกรณีที่เกรียงศักดิ์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจากการต่อรองภายในกองทัพ ก่อนที่ภายหลังพลังของ
               กองทัพและระบบราชการจะผลักดันให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 5 สมัยในเวลาต่อไป ทั้งนี้

               ค าถามคือ แล้วผู้ที่มีต าแหน่งในกองทัพจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือผู้ด ารงต าแหน่งข้าราชการการเมืองได้อย่างไร
               ค าตอบพิจารณาได้จากมาตรา 204 (3) ของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ที่ระบุให้การยกเว้นจาก

               มาตรา 148 เพื่ออนุญาตให้ข้าราชการสามารถด ารงต าแหน่งรัฐมนตรีได้ด้วย ส่งผลให้ผู้น ากองทัพเองก็สามารถรับ
               ข้อยกเว้นจากมาตรา 204 (3) เพื่อให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีโดยตรงผ่านอ านาจมาตรา 146 ได้
                       ด้วยเหตุนี้เอง ความสัมพันธ์เชิงอ านาจระหว่างคณะรัฐมนตรีกับรัฐสภากล่าวได้ว่าเป็นอิสระจากกันในแง่

               ของความยึดโยงจากประชาชน ขณะเดียวกันกับเป็นพลังของกองทัพและระบบราชการที่ครอบง าทั้งการได้มาซึ่ง
               คณะรัฐมนตรีและการแต่งตั้งวุฒิสภาด้วยเช่นกัน จึงเป็นดังกล่าวขานว่าเป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่พลังของ

               ระบบราชการครอบง าฝ่ายบริหารและวุฒิสภาด้วยการส่งตัวแทนของระบบราชการเข้ามาท าหน้าที่โดยตรงใน
               ระบบรัฐสภา ขณะเดียวกันก็ผ่อนปรนให้มีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งเข้าไปท างานในระบบรัฐสภา

                       อย่างไรก็ตาม พลังของกองทัพและระบบราชการไม่ได้เพียงควบคุมฝ่ายบริหารและควบคุมทางอ้อมต่อนิติ
               บัญญัติ แต่รวมถึงตุลาการรัฐธรรมนูญที่ความขอบเขตการตีความการขัดต่อรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากประการที่สี่

               ความเปลี่ยนแปลงต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมาตรา 184 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง 2 ข้อ ได้แก่ จ านวนของ
   160   161   162   163   164   165   166   167   168   169   170