Page 121 - 23154_Fulltext
P. 121
116
ทางการเมืองของวุฒิสภาผ่านการน าเอาประธานวุฒิสภามาเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ กรณีเช่นนี้จึงเป็นการ
ขยายอ านาจวุฒิสภาผ่านประธานวุฒิสภาให้ตัวแทนจากการแต่งตั้งสามารถรุกล้ าการท าหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญ
ของประชาชน และอาจไม่สอดคล้องกับความชอบธรรมที่ยึดโยงกับอ านาจที่มีประชาชนเป็นแหล่งที่มาของอ านาจ
อีกทั้งยังไม่สามารถสร้างหลักประกันได้ว่าการท าหน้าที่เหล่านั้นจะเป็นการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน
สรุป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 เกิดขึ้นในบริบทของการประนีประนอมทางการเมือง
ระหว่างรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับคณะรัฐประหาร จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองและน ามาสู่การ
รัฐประหารเปลี่ยนย้ายอ านาจสู่สมัยของรัฐบาลจอมพล ป. จากนั้นจึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มีการตั้งสภา
ร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่ามีความพยายามในการเสริม
บรรยากาศความเป็นประชาธิปไตย แต่ในอีกมุมหนึ่ง ณัฐพล ใจจริง (2556) มองว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 มีความ
เป็น “รัฐธรรมนูญรอยัลลิสต์” ที่ถูกร่างขึ้นและมีบทบัญญัติให้อ านาจแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการ ฯ แก่รัฐสภานั้นไม่ได้
เป็นไปเพราะมีความศรัทธาในระบบรัฐสภา หากแต่เพราะว่ารัฐสภาถูกควบคุมได้ สมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดมาจาก
การแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ สภาผู้แทนมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างมาก และกรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็น
ผู้ส าเร็จราชการ ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้เหล่านี้ต่างสัมพันธ์กับการก ากับควบคุมรูปแบบของความสัมพันธ์เชิง
อ านาจของระบบการเมือง และจะเป็นหลักประกันที่จะสร้างความมั่นคงในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “ระบอบ
ประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (ณัฐพล ใจจริง, 2556: 123-124)
ในส่วนของตัวบทรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ได้เข้ามาก าหนดความสัมพันธ์เชิงอ านาจในรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อ
รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ “ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยมีข้อสังเกตอย่างน้อยใน 3
ประการส าคัญ ได้แก่ ประการแรก พระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ที่เพิ่มขึ้นใน 3 ส่วนส าคัญ โดยเริ่มจาก
มาตรา 6 ว่าด้วยการที่ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้ อันเป็นทางแพร่งระหว่างการส่งเสริมหลักของความอยู่
เหนือการเมืองของพระมหากษัตริย์ ทว่าอีกทางหนึ่ง พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอ านาจในการแต่งตั้ง
องค์กรทางการเมืองทั้งพระราชอ านาจแต่งตั้งองคมนตรีตามมาตรา 13 และพระราชอ านาจแต่งตั้งวุฒิสมาชิกตาม
มาตรา 82 ซึ่งหากกิจกรรมทางการเมืองที่ตัวแทนเหล่านี้กระท าส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะของสังคม
ค าถามคือจะสามารถพิจารณาความผิดได้อย่างไร เพราะเดิมทีรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2475 มาตรา 6 เคยวาง
บทบัญญัติให้อ านาจรัฐสภาในการพิจารณาคดีอาชญาที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการที่มาตรา 77
ก าหนดให้ขยายขอบเขตของระยะเวลาที่จะใช้พระราชอ านาจในการโต้แย้งร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเป็นได้ร่าง
ขึ้น จาก 30 วันเป็น 90 วัน การน าเอาอ านาจของรัฐสภาในการพิจารณาคดีข้างต้นออกไป และการขยายความเป็น
การเมืองของพระราชอ านาจโต้แย้งหรือรั้งระยะเวลาในการเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จะเป็นการยืนยันหลักของ
ความอยู่เหนือการเมืองของพระมหากษัตริย์ได้อย่างแท้จริงเพียงไรจึงเป็นค าถามที่ต้องพิจารณาทบทวนกันต่อไป