Page 120 - 23154_Fulltext
P. 120

115


               แนวทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ านาจร่วมพิจารณาประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมือง ได้แก่

               ข้อ (1) (3) อันเป็นการเมืองสัมพันธ์ต่อประมุขแห่งรัฐ ข้อ (4) อันเป็นบทบาทด้านนิติบัญญัติที่เคยถูกจ ากัดไว้เฉพาะ
               สภาผู้แทนในฐานะของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ข้อ (9) อันเป็นการดึงวุฒิสภามาเป็นส่วนหนึ่ง
               ของอ านาจแต่งตั้งองค์กรทางการเมืองที่จะมีอ านาจและหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญ และข้อ (10) (11) อันเป็นการ

               ขยายขอบเขตอ านาจให้วุฒิสภาร่วมตีความและแก้ไขรัฐธรรมนูญ
                       เช่นนี้แล้วจึงจ าเป็นต้องตั้งข้อสังเกตอย่างน้อยใน 2 เรื่อง ได้แก่ ข้อสังเกตแรก อ านาจของวุฒิสภาไม่ได้มี

               ความได้สัดส่วนระหว่างที่มาจากการแต่งตั้งกับอ านาจทางการเมืองที่มีความเทียบเท่าและไม่เป็นธรรมต่อสภา
               ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาจากการแต่งตั้งสามารถขัดขวางบรรยากาศความ

               เป็นประชาธิปไตยของกระบวนการทางนิติบัญญัติให้สอดคล้องกับสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่วุฒิสภาสามารถ
               แทรกแซงในกระบวนการนิติบัญญัติ สามารถขัดขวางหรือท าให้การตัดสินใจผลประโยชน์ของประชาชนสามารถถูก

               เหนี่ยวรั้งการตัดสินใจของสภาให้ล่าช้าลงไปจนเกิดเป็นต้นทุนด้านเวลาที่ท าให้ระบอบประชาธิปไตยต้องล่าช้าลงไป
               จากอ านาจในมาตรา 137 (4) (10) และ (11)  ซึ่งน ามาสู่ข้อสังเกตที่สองคือ การแต่งตั้งวุฒิสภาเข้ามาแทรกแซง
               กระบวนการนิติบัญญัติของระบบรัฐสภาจะถือเป็นการสร้างความเสียพระเกียรติแก่พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง

               วุฒิสมาชิกด้วยหรือไม่หากวุฒิสภาท าการตัดสินใจที่เป็นการต่อต้านความคิดทางการเมืองของมวลชน ตลอดจนเป็น
               การเปิดช่องทางให้เกิดข้อครหาต่อหลักการ “อยู่เหนือการเมือง” ของพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้แต่งตั้งวุฒิสมาชิก

               เหล่านั้นอีกด้วย
                       ต่อเนื่องจากบทบัญญัติมาตรา 137 (9) ว่าด้วยอ านาจของรัฐสภาในการแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ

               แม้ว่าจะสังเกตได้เป็นการน าเอาระบบเดิมที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 และเคยหายไปในรัฐธรรมนูญฉบับ
               ชั่วคราว พ.ศ. 2490 กลับมา ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนสามารถสังเกตได้จากมาตรา 168 ที่บัญญัติไว้ว่า

                              “มาตรา 168 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญประกอบด้วย ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทน
                       ประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีกรมอัยการ และบุคคลอื่นอีก 4 คน ซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งจาก

                       ผู้ทรงคุณวุฒิในทางกฎหมาย
                              ประธานวุฒิสภาเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ”


                       โดยความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากบทบัญญัติเดิมในมาตรา 89 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 อย่างน้อยใน

               2 ประการ ได้แก่ ประการแรก รัฐสภาคงอ านาจเดิมในการแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจ านวน 4 คน ทว่าสิ่งที่
               เพิ่มเติมคือ จ านวนสมาชิกอีก 5 คนที่เป็นการแต่งตั้งโดยต าแหน่ง ได้แก่ ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทน

               ประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีกรมอัยการ ซึ่งแม้จะสามารถอธิบายได้ว่าเป็นความเหมาะสมในด้าน
               วิชาชีพ แต่ในทางกลับกันก็หมายถึงการที่เป็นการเพิ่มสัดส่วนของตัวแทนที่ไม่ได้มาจากประชาชนด้วยเช่นกัน จึง
               สังเกตได้ชัดถึงอ านาจของตัวแทนจากประชาชนที่ถูกตัดทอนแบ่งส่วนให้แก่ตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยวิชาชีพ

               อย่างน้อย 4 คน โดยอาจถือว่าประธานสภาผู้แทนถือเป็นสัดส่วนตัวแทนที่มาจากประชาชนเลือกตั้งมา
               นอกจากนั้นประการที่สอง การที่บังคับในวรรคที่สองของบทบัญญัติมาตรา 168 เป็นการที่ขยายขอบเขตอ านาจ
   115   116   117   118   119   120   121   122   123   124   125