Page 123 - 23154_Fulltext
P. 123
118
แต่ในทางกลับกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ยังคงจัดวาง
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้พระมหากษัตริย์มีสามารถการแทรกแซงทางการเมืองได้ผ่านการก าหนดบทบัญญัติว่า
ด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เนื่องจากแม้จะมีการปรับเปลี่ยนสู่ระบบสภาเดี่ยว แต่ก็มีการแบ่ง
ออกเป็นสมาชิกประเภทที่ 1 จากการเลือกตั้งของประชาชน และสมาชิกประเภทที่ 2 จากการแต่งตั้งของ
พระมหากษัตริย์ โดยสมาชิกประเภทที่ 2 จะลดจ านวนสมาชิกลงก็ต่อเมื่อประชาชนได้รับการศึกษาระดับประถม
มากเพียงพอ โดยสมชายยกเอาข้อถกเถียงในกระบวนการจัดท ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาเพื่อสะท้อนความคิดเห็นต่าง
ในประเด็นของการจัดวางสถานะของพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยฝ่ายที่คัดค้านได้เสนอถึง
ปัญหาของการใช้พระราชอ านาจยับยั้งร่างกฎหมาย ตัวอย่างเช่น นายสุวิชช พันธเศรษฐ ได้ค้านด้วยเหตุผลที่
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ที่เคารพสักการะ การดึงพระมหากษัตริย์มาคลุกคลีกับการเมืองจึงเป็นการสร้าง
บรรยากาศความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนโดยตรงแทนที่จะเป็นคณะรัฐมนตรีหรือพรรค
การเมือง พร้อมยกกรณีที่รัชกาลที่ 7 เคยใช้พระราชอ านาจยับยั้งการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย อันเป็นต้นเหตุให้
พระมหากษัตริย์ทรงสละราชสมบัติ เป็นต้น ขณะที่ฝ่ายเห็นชอบให้ความคิดเห็นในลักษณะที่ว่า เป็นการร่วมกัน
ตรวจสอบกิจการบริหารประเทศ ตัวอย่างเช่น จอมพล ป. อธิบายว่า พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงใช้อ านาจ ท่านใช้
อ านาจเพียงผ่านระบบรัฐสภา และการโต้แย้งร่างพระราชบัญญัติก็เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยราษฎร
เป็นการช่วยกันดูแลกิจการบริหารประเทศในทางที่ถูกที่ควร เป็นต้น (สมชาย ปรีชาศิลปกุล, 2561: 165-170)
โครงสร้างและอ านาจหน้าที่ของรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ฉบับนี้ มีนัยส าคัญประการหนึ่งคือ การที่จอมพล ป.
ต้องการรื้อฟื้นกลไกระบบรัฐสภาเดิมที่เคยก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ข้อสังเกตหนึ่งที่ส าคัญคือ การ
เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “สภาผู้แทน” เป็น “สภาผู้แทนราษฎร” เพื่อสะท้อนนัยของความเป็นตัวแทนของราษฎรชาว
ไทย ในขณะเดียวกัน ก็สังเกตได้จากตัวบทรัฐธรรมนูญที่เพิ่มเติมเนื้อหาอันสะท้อนได้ถึงเจตนารมณ์ของการจัด
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้ประนีประนอมกับอ านาจของสถาบันกษัตริย์ ด้วยการสืบทอดเจตนารมณ์ของ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ในมาตราที่ส าคัญ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านแรก ขอบเขตการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ผ่านการ
รับเอามาตรา 4 ว่าด้วยการห้ามฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ ด้านที่สอง พระราชอ านาจแต่งตั้งสมาชิกองค์กรทาง
การเมือง มาตรา 11 พระราชอ านาจแต่งตั้งคณะองคมนตรี อันได้แก่ ประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีอีก
8 คน อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน มาตรา 17 สะท้อนความพยายามในการรื้อฟื้นอ านาจของสภาผู้แทนราษฎรใน
การแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ดังที่บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 17 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะ
ทรงบริหารราชภาระไม่ได้ จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ส าเร็จ
ราชการแทนพระองค์ และให้ประธานสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”