Page 124 - 23154_Fulltext
P. 124

119


                       เช่นเดียวกับในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงประทับอยู่ในประเทศหรือพระองค์ยังไม่บรรลุนิติภาวะตาม

               มาตรา 18 เช่นกัน รวมถึงมาตราที่ 21 และ 23 ว่าด้วยอ านาจของสภาผู้แทนราษฎรในการให้ความเห็นชอบต่อการ
               สืบราชสันตติวงศ์อันเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลดังบัญญัติไว้ต่อไปนี้


                       “มาตรา 21 การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.

               2467 และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ...”
                       “มาตรา 23 ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียร
               บาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ

               แล้ว ให้สภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วประธานสภาประกาศ
               เพื่อให้ประชาชนทราบ”


                       กล่าวคือ ระบบรัฐสภาถูกจัดความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้กลับมามีบทบาทส าคัญในการรับรองความชอบ

               ธรรมแก่สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แทนหน้าที่เดิมของวุฒิสภาที่มาจาก
               การแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาภายใต้

               รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 จึงประกอบด้วย 3 ประการส าคัญ ได้แก่ ประการแรก การขยาย
               วาระการอยู่ในต าแหน่งของสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 47 ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในต าแหน่งคราวละ 5

               ปี ซึ่งสะท้อนได้ทั้งทัศนะแบบกองทัพที่ยึดมั่นในเสถียรภาพทางอ านาจขัดกับหลักการเสรีนิยมที่ให้ความส าคัญกับ
               การจ ากัดการผูกขาดอ านาจเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง


                       ประการที่สอง การลดขอบเขตระยะเวลาในการใช้พระราชอ านาจโต้แย้งร่างพระราชบัญญัติ จากเดิมที่

               ปรับเป็นภายใน 90 วันตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาตรา 39 เคย
               บัญญัติกรอบเวลาไว้ที่ 30 วัน ส่งผลให้ความประนีประนอมระหว่างเจตนารมณ์ของการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 กับ

               ความพยายามรื้อฟื้นพระราชอ านาจในช่วง พ.ศ. 2492 ได้ปรากฎออกมาผ่านมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
               2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ให้มีก าหนดไว้ว่า


                       “มาตรา 72 ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่เห็นชอบด้วย และพระราชทานคืนมายังสภา

               ผู้แทนราษฎรหรือมิได้พระราชทานคืนมาภายใน 60 วัน สภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้าสภาลง
               มติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงเกินกว่าสมาชิกกึ่งหนึ่งของสภาทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีน าร่าง
               พระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าฯถวายอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ก็

               ให้น าพระราชบัญญัติประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ลง
               พระปรมาภิไธยแล้ว”
   119   120   121   122   123   124   125   126   127   128   129