Page 117 - 23154_Fulltext
P. 117
112
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจรูปแบบแรก ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ต่อสภาผู้แทน ดังที่
มาตรา 2 ได้บัญญัติให้ระบอบใหม่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข” นอกจากนั้นแล้วหมวดที่ 2 ยังได้มีการเพิ่มเติมมาตราส าคัญคือ มาตรา 6 “ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้อง
พระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้” เป็นการสะท้อนความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน้อยใน 2 ด้าน
ได้แก่ ด้านแรก เดิมมีข้อบัญญัติว่าด้วยการจะละเมิดองค์กษัตริย์มิได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.
2475 เคยก าหนดบทบัญญัติมาตรา 6 ว่าด้วยอ านาจของรัฐสภาในการวินิจฉัยคดีความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
ทว่าในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 และฉบับถัดมาหลังจากนั้นน ามาตรานี้ออกไปและเปิดให้เป็นช่องว่างทางกฎหมาย
เมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ที่เป็นผลผลิตของการรื้อฟื้นพระราชอ านาจจึงได้มีการวางบทบัญญัติ
คุ้มครองพระมหากษัตริย์จากการถูกฟ้องร้องและรับผิดคดีความด้วยการป้องกันไม่ให้มีการฟ้องร้องใดต่อ
พระมหากษัตริย์ ในอีกด้าน มาตรานี้เองก็เป็นการสะท้อนการจัดสมดุลของความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่
พระมหากษัตริย์มีต่อระบบรัฐสภาเสียใหม่ เนื่องจากหากว่าหลักการของมาตรา 8 “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อ านาจ
นิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา” เช่นนั้นแล้วกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติจึงเป็นความรับผิดของรัฐสภา ตาม
หลักการพระมหากษัตริย์ไม่อาจท าผิด (The king can do no wrong) เพราะกิจการต่าง ๆ ไม่ได้ใช้อ านาจโดย
พระองค์เอง (วิเชียร เพ่งพิศ, 2563) เช่นนี้แล้วในทางกลับกัน ค าถามที่ตามมาคือ หากมีกรณีที่ประชาชนมองว่า
พระมหากษัตริย์เกี่ยวพันกับความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของการออกกฎหมายที่ตัวแทนของพะมหา
กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งและเข้ามาท าหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีเช่นนี้การตัดทอนอ านาจของรัฐสภาในการ
พิจารณาคดีอาชญาเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์จึงเป็นการจัดสรรความสัมพันธ์เชิงอ านาจให้เกิดความได้เปรียบแต่
เพียงทางเดียวหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ขยายพระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภา ขณะเดียวกันรัฐสภาจ าต้องรับผิดจากคดีความที่กฎหมายก่อให้เกิดผลกระทบต่อ
ผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวม โดยที่รัฐสภาในฐานะตัวแทนของประชาชนไม่มีอ านาจแม้แต่จะรับเรื่องร้องเรียน
หรือพิจารณาคดีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในทางใดได้เลย กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ได้สร้าง
ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่พระมหากษัตริย์ทรงได้รับพระราชอ านาจที่มีความเป็นการเมืองเหนือรัฐสภา
ขณะเดียวกันก็อยู่ในสถานะเหนือการเมืองไปพร้อมกับสถานะถูกคุ้มครองจากการฟ้องร้องทุกกรณี
นอกจากนั้นแล้ว ในส่วนของอ านาจของอภิรัฐมนตรีจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 ซึ่งมีที่มา
จากการแต่งตั้งจ านวน 5 คน และมีขอบเขตหน้าที่ทับซ้อนกับรัฐสภาในการถวายค าปรึกษาแก่พระมหากษัตริย์
เป็นผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนั้นยังท าหน้าที่เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์ เมื่อมาถึงรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2492 ได้มีการรักษาคงไว้ซึ่งต าแหน่งอภิรัฐมนตรีและเปลี่ยนชื่อเป็น “องคมนตรี” โดยบัญญัติที่มาของคณะ
องคมนตรีไว้ตามมาตรา 13 และ 14 ไว้ดังนี้
“มาตรา 13 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่ง
และองคมนตรีอีกไม่มากกว่า 8 คน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี
คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่
พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้”