Page 113 - 23154_Fulltext
P. 113

108


                       ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่คณะรัฐประหารได้ก าหนดขึ้นใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ

               ชั่วคราว) พ.ศ. 2490 สามารถแบ่งรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ก าหนดขึ้นใหม่จากเดิมใน 3 ประการ ได้แก่
                       ประการแรก ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่เปลี่ยนแปลงในทางสนับสนุนอ านาจให้แก่พระมหากษัตริย์ผ่านการ
               รื้อฟื้นต าแหน่ง “อภิรัฐมนตรี” ดังที่บัญญัติในหมวดที่ 1 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มาตราที่ 9 ถือเป็นความแตกต่าง

               ในลักษณะที่ย้อนกลับสู่อ านาจทางการเมืองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากบัญญัติได้ระบุว่า

                       “มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นต าแหน่งส าหรับถวายค าปรึกษาในราชการ
               แผ่นดิน”
                         บทบัญญัติในมาตรา 9 จึงเป็นความพยายามของคณะรัฐประหารในการแทนที่ความส าคัญของระบบ

               รัฐสภาด้วยการลดทอนบทบาทของการถกเถียงในรัฐสภาเพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการบริหาราชการแผ่นดิน
               สู่การรื้อฟื้นอ านาจของอภิรัฐมนตรีในการเป็นที่ปรึกษาโดยตรงของพระมหากษัตริย์แบบในสมัยระบบ

               สมบูรณาญาสิทธิราชย์
                       ประกอบกับในมาตราที่ 10 ว่าด้วย “กรณีที่พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใด

               เหตุหนึ่งจะทรงบริหารภาระไม่ได้ ให้มีการแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ ถ้าพระมหากษัตริย์
               มิได้ทรงแต่งตั้งหรือไม่สามารถทรงตั้ง ก็ให้คณะอภิรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินในหน้าที่คณะผู้ส าเร็จ

               ราชการแทนพระองค์ทันที” และมาตรา 11 ว่าด้วยกรณีที่บัลลังก์ว่างลงและไม่ได้มีผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์
               คณะอภิรัฐมนตรีจะได้รับหน้าที่ผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว ซึ่งจากมาตรา 10 และ 11 นี้สังเกต

               ได้ว่าเป็นความพยายามของคณะรัฐประหารในการลบและแทนที่บทบาทของพฤฒสภาที่ก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
               พ.ศ. 2489 ด้วยอ านาจและหน้าที่ของคณะอภิรัฐมนตรีที่ถูกน ากลับมาบัญญัติในหมวดที่ 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้

                       ในส่วนของอ านาจและหน้าที่ของอภิรัฐมนตรี ตามมาตรา 13 และ14 ก าหนดให้มีอภิรัฐมนตรีเป็นต าแหน่ง
               ประจ าจ านวน 5 คน เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์ และถวายค าปรึกษาให้พระมหากษัตริย์ด้วยการถวายความ
               คิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ในขณะที่ขอบเขตจ ากัดด้านคุณสมบัติในการมาเป็นอภิรัฐมนตรีจะจ ากัด

               ตามมาตรา 17 เฉพาะผู้ที่รับราชการมาแล้วกว่า 25 ปี และเคยเป็นอธิการบดีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาไม่
               น้อยกว่า 4 ปี ด้วยคุณสมบัติข้างต้นจึงสังเกตได้ว่าจ ากัดอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีความอาวุโสในระบบราชการ

                       ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพิจารณาอ านาจและหน้าที่ของอภิรัฐมนตรีสภา จะสังเกตได้ว่าเป็นต าแหน่งที่มีอ านาจ
               และหน้าที่เข้ามาทับซ้อนกับต าแหน่งพฤฒสภาโดยตรงในความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาที่เปลี่ยนแปลง

               ไปในรัฐธรรมนูญฉบับนี้  ทั้งในเรื่องของการถวายค าปรึกษาแก่ประมุขบนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์ที่สั่ง
               สมจากอาวุโสในระบบราชการ รวมถึงในเรื่องของการท าหน้าที่รักษาการอ านาจชั่วคราวเพื่อให้อ านาจของ

               พระมหากษัตริย์ไม่เกิดช่องว่างในช่วงที่ไม่ได้ทรงประทับในประเทศหรือช่วงที่มีการว่างเว้นจากด ารงต าแหน่ง
               ประมุขโดยที่มิได้ทรงแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการแทนในขณะนั้น ทว่าความแตกต่างของอภิรัฐมนตรีกับพฤฒสภา
               ประการส าคัญนั้นก็คือประเด็นของที่มาของต าแหน่ง เพราะว่าพฤฒสภาจะมีที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดย

               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเข้าสู่อ านาจของพฤฒสภาจึงสัมพันธ์กับสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของ
               ประชาชนอีกล าดับหนึ่ง ในขณะที่อภิรัฐมนตรีจะเป็นต าแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ทว่ามีอ านาจระดับที่
   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117   118