Page 39 - 22353_Fulltext
P. 39

เหล่านี้ให้หมดไปก่อนเพื่อให้การจัดการปัญหาอาชญากรรมมีประสิทธิภาพ ในแง่นี้ผู้ที่จะเป็นอาชญากร ไม่

               จำเพาะว่าจะเกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคลเท่านั้นแต่อาจเป็นสถาบันหรือแม้แต่รัฐได้เช่นกัน กรณีที่รัฐใช้นโยบายที่

               โหดร้ายทารุณ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้นทฤษฎีเชิงสมานฉันท์จึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาอาชญากรรม

               ด้วยการเปลี่ยนจากแนวทางที่เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal justice) ไปสู่การใช้กระบวนการ
               ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative justice) (Pepinsky & Quinney, 1991)


                       ทฤษฎีความละอายเชิงบูรณาการ (Reintegrative shaming theory) แนวคิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย

               จอห์น เบรทเวท (John Braithwaite) นักอาชญาวิทยาชาวออสเตรเลียในปี 1989 โดยแนวคิดนี้เป็นการรวม

               เอาทฤษฎีทางสังคมศาสตร์และจิตวิทยาหลากหลายทฤษฎีเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการเรียนรู้ทาง

               สังคม การควบคุมกดดันทางสังคม การประทับตรา และแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมรองมาประกอบกัน เพื่ออธิบาย

               ว่าเพราะอะไรจึงทำให้บางสังคมมีอาชญากรรมมากกว่าบางสังคม อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอาชญากรรม
               จำนวนมากเหล่านั้น โดยข้อเสนอทางทฤษฎีนี้คือสังคมนั้นขาดประสิทธิภาพในการสร้างให้ผู้คนในสังคมละอาย

               ใจต่อการกระทำผิด ซึ่งการขาดความละอายนี้ มีหลายสาเหตุ อาทิ ความรู้สึกผูกพันทางสังคมที่ลดน้อยลง

               พวกเขาไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงไม่รู้สึกว่าการทำให้คนอื่นในสังคมเดือดร้อนเป็นความผิด ดังนั้น

               การแก้ไขปัญหาประการหนึ่งเพื่อลดอาชญากรก็คือการทำให้อาชญากรรู้สึกผูกพันกับสร้างคม ต้องสร้างการ

               ยอมรับและนำผู้กระทำผิดกลับเข้าสู่สังคม (Reintegrative shaming) ดังนั้น การสร้างความละอายในที่นี้จึง
               แตกต่างออกไปจากการสร้างความละอายเพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกและลงโทษทางสังคม (Braithwaite, 1989)


                       จากแนวคิดเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการปรับความคิดเป็นสิ่งสำคัญ และเป็น

               พื้นฐานหลักที่จะนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเชิงบวกและสร้างความสมานฉันท์ได้ ดังที่

               ประเวศ วะสี (2548 อ้างถึงใน ไชยรัตน์ ปราณีและคณะ, 2553) กล่าวถึงแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ว่า

               จะต้องเริ่มจากสิ่งที่ “ถูกต้อง” อย่างน้อย 4 อย่าง คือ 1) คิดถูก ในที่นี้คือการเคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็น

               มนุษย์ คิดถึงส่วนรวม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และมีกรุณาเป็นพื้นฐานของจิตใจ 2) พูดถูก คือ พูดความจริง
               ใช้ปิยวาจา ไม่ส่อเสียดยุดยงให้เกลียดชังแกตแยก พูดแล้วเกิดประโยชน์ 3) ทำถูก คือ ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่หวัง

               ร้าย เกื้อกูลกัน 4) มีความสัมพันธ์ที่ถูก คือ มีความยุติธรมเป็นธรรมทางสังคม สังคมจึงจะมีความสมานฉันท์ได้


                       สำหรับเครื่องมือในการสร้างความปรองดองเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เกิดความไว้วางใจ

               ซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเราและมีวัฒนธรรมประชาธิปไตย มีหลากหลายวิธี ดังนี้


                       1) การเยียวยาจิตใจ คือ การให้ความช่วยเหลือด้านสังคมจิตใจ โดยกระทำได้หลากหลายวิธี อาทิ
               แสดงความห่วงใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ให้การดูแลแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง/

               วิกฤตต่างๆ เพื่อให้บุคคลสามารถปรับตัวและกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ การเยียวยาจิตใจที่มีประสิทธิภาพ







                                                                                                       38
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44