Page 38 - 22353_Fulltext
P. 38
กระบวนการสร้างความสมานฉันท์จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยกระบวนการหรือวิธีการสร้างความสมานฉันท์
ที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมีมากมาย หลักๆคือเรื่องของ “การสร้างการยอมรับ” ความแตกต่างหลากหลาย
การปรับความคิดและสร้างการยอมรับเป็นสิ่งสำคัญ โดยการยอมรับมีอาทิ การยอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น ยอมรับ
ฟัง ยอมรับความต่าง ยอมรับว่าทุกคนไม่ได้เหมือนกัน การยอมรับจึงเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการสร้าง
ความสมานฉันท์ ซึ่งจะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ เพราะการยอมรับจะช่วยสร้างจินตนาการได้อย่างสำคัญ
ว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ร่วมกันได้
แต่ถึงแม้การสร้างการยอมรับจะเป็นกระบวนการสำคัญและฟังดูง่ายแต่กลับยากในทางปฏิบัติ เพราะ
ในสังคมมีการแบ่งขั้ว หลายคนกลัวและมองไม่ออกว่าจะอยู่โดยไม่มีปัญหาเหล่านั้นอย่างไร พวกเขาจินตนาการ
ถึงวันที่ความขัดแย้งหมดไปไม่ได้ ทำให้พวกเขาจินตนาการถึงภาพที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ ประกอบกับการที่ความ
กลัว ความทุกข์ ความบอบช้ำ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้ามาในชีวิตให้พวกเขาต้องประสบเป็นระยะ จึงสร้าง
ความรู้สึกคุ้นชินความเป็นปกติให้เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่จะต้องขจัดให้หมดออกไปก่อนที่จะ
ดำเนินการสร้างความสมานฉันท์ เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการในการสร้างความปรองดองก็คือ
“ระยะเวลา” การประนีประนอมสร้างความสมานฉันท์จะมีนัยสำคัญก็ต่อเมื่อมีกระบวนการต่อเนื่องในระยะ
ยาว นอกจานั้น การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการก็ไม่อาจกระทำได้สำเร็จ
เพียงแค่ดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นแต่จำเป็นต้อง ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและ
พฤติกรรมสาธารณะไปพร้อมกันด้วยซึ่งจำเป็นต้องดำเนินต่ออย่างต่อเนื่อง
มีทฤษฎีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อกระบวนการสร้างความสมานฉันท์หลากหลาย
ทฤษฎี ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีการสร้างสันติภาพ (Peace-making theory) และ ทฤษฎี
ความละอายเชิงบูรณาการ (Reintegrative shaming theory) มาอธิบายโดยสังเขป
ทฤษฎีการสร้างสันติภาพ (Peace-making theory) เป็นแนวคิดด้านการบริหารงานยุติธรรม
สมัยใหม่ เสนอโดย ฮารอล เป็ปพินสกี(Harold Pepinsky) และริชาร์ด ควินนีย์ (Richard Quinney) ซึ่งมอง
ว่า การตรากฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดหรือใช้วิธีการต่างๆมากมายเพื่อตอบโต้ต่อผู้ที่ก่ออาชญากรรม
ทว่าสิ่งทีเกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าอาชญากรรมไม่ได้ลดลงไป ความผิด การก่ออาชญากรรมยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นให้เห็น
อยู่สังคมเสมอมา ดังนั้น ทั้งสองจึงมีมุมมองว่าการรับมือกับอาชญากรรมด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่
แนวทางที่ถูกต้อง เพราะไม่ได้แตะไปที่สาเหตุของปัญหา ซึ่งสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดอาชญากรรมขึ้นก็คือความ
ทุกข์ (Suffering) ซึ่งมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทางด้านเศรษฐกิจ ความยากจน ความทุกข์ทางจิตใจการ
แบ่งแยก การถูกเหยียดหยาม ว่าร้าย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่อาจนำไปสู่อาชญากรรมได้ ดังนั้น
การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมด้วยกฎหมายและบทลงโทษเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีหาทางขจัดความทุกข์อันเป็น
เหตุแห่งปัญหาไปพร้อมกันย่อมไม่อาจลดอาชญากรรมลงมาได้ ดังนั้น ทั้งคู่จึงเสนอให้ จัดการกับความทุกข์
37