Page 19 - kpi22237
P. 19
14
2.3 กรอบแนวการศึกษา (approach) และความคิดรวบยอด (conceptual framework): วิธีการคัดเลือก
ผู้สมัครรับเลือกตั้งกับการพัฒนาประชาธิปไตย
กระบวนการและระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวใจส าคัญในการท าความเข้าใจการเมือง
“ภายใน” พรรคการเมือง และการแข่งขัน “ระหว่าง” พรรคการเมือง ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึง
ประชาธิปไตยที่มีกลไกในการแข่งขันเพื่อหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน (a competitive struggle for the
people’s vote) ตามนิยามของ Joseph Schumpeter (1947: 269) ที่ได้นิยามประชาธิปไตยต้องมีที่มา
(source) จากความต้องการของประชาชน และมีเป้าหมาย (purpose) เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน โดยวิธีการ
ของประชาธิปไตยคือการจัดเรียงสถาบันเพื่อการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งอ านาจในการตัดสินใจด้วยการ
แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งการลงคะแนนของประชาชน
ในงานของ Robert A. Dahl (2000: Chapter 8) เรื่อง On Democracy ได้กล่าวถึงการจัดเรียง
สถาบันทางการเมืองส าหรับการสร้างประชาธิปไตย ควรประกอบไปด้วย 6 ด้านหลัก คือ
1) สถาบันทางการเมืองเกี่ยวกับฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น รัฐบาล รัฐสภา เป็นต้น
2) สถาบันทางการเมืองที่จัดการเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เสรีและเป็นธรรม (free and fair
election) เช่น ระบบเลือกตั้ง เป็นต้น
3) การจัดเรียงสถาบันจะต้องสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก (freedom of expression)
4) การจัดเรียงสถาบันและสถาบันการเมืองจะต้องมีทางเลือกในการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย
(alternative sources of information) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและเรียนรู้ทางการ
เมืองผ่านแหล่งข้อมูลที่ไม่ได้ถูกผูกขาดจากรัฐหรือทุน
5) สนับสนุนให้มีอิสระในการรวมกลุ่มทางการเมือง (associational autonomy) เช่น พรรค
การเมือง กลุ่มผลประโยชน์ เป็นต้น
6) ความเป็นพลเมืองต้องถูกนับรวมถึงทุกคน (inclusive citizenship) ให้มีสิทธิเสรีภาพอย่าง
เท่าเทียมกัน กฎหมายก าหนดหลักสิทธิและเสรีภาพ ที่สนับสนุนต่อประชาธิปไตย
จากงานคลาสสิกข้างต้นจะพบว่าสถาบันการเมืองที่มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
(democratization) คือ “พรรคการเมือง” ท าให้การศึกษาเรื่องกระบวนการและระบบการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้งถูกให้ความส าคัญ โดยในทางวิชาการจะพบว่าไม่ใช่เพียงสาขารัฐศาสตร์หรือการเมืองเปรียบเทียบ
เพียงสาขาเดียวที่จะศึกษาประเด็นดังกล่าว แต่ยังพบว่าการศึกษาเรื่องการสรรหาผู้สมัครพรรคการเมืองยังถูก
ให้ความส าคัญจากสาขาเศรษฐศาสตร์ (economics) การบริหาร (management) และการตลาด
(marketing) อย่างงานวิจัยของ Alsamydai and Khasawneh (2013, 108) ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาพฤติกรรม
การเลือกตั้งและพฤติกรรมในการลงคะแนนเสียงของประชาชนมีความสัมพันธ์กันกระบวนการสรรหาผู้สมัคร
รับเลือกตั้ง ภายใต้กรอบของการตลาดการเมือง (political marketing) ที่เป็นทั้งสาขาย่อยในทางวิชาการ
และเป็นอุตสาหกรรมทางการเมืองที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐไม่แพ้การศึกษาพฤติกรรมการบริโภค
ในทางการตลาดหรือสินค้าอื่นๆ