Page 22 - kpi22237
P. 22
17
จากแผนภาพดังกล่าวเห็นว่าในระบอบประชาธิปไตยที่มี “ความเป็นตัวแทนที่มีคุณภาพ” (quality of
representation) มีองค์ประกอบใน 3 ด้านหลัก (Kitschelt 2000, 845; Vieira and Runciman 2008,
140-147) คือ
1.) ในด้านการเมืองเรื่องความเป็นตัวแทน ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง (voter)
ต้องมีข้อมูลข่าวสารครบถ้วนจนเข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ (enlightened understanding) และการออกเสียง
ของตนต้องผูกพันกับนักการเมืองในฐานะที่ผู้เลือกตั้งเป็นคนคุมวาระทางการเมือง (control over the
agenda) จนสามารถตัดสินใจเลือกผู้แทนทางการเมือง (political representatives)
2.) ผู้แทนมีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ (accountability) และเชื่อมโยงกับประชาชนด้วยชุดของ
นโยบาย (programmatic Linkages) ที่มีคุณภาพและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับสังคมตามที่ได้สัญญาไว้ใน
การเลือกตั้ง โดยผู้แทนดังกล่าวต้องท าหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมด (The Whole) ไม่ใช่แทนเฉพาะผู้ที่มา
เลือกฝ่ายตน
3.) ประชาชนทั้งหมดต้องมีชีวิตที่มีคุณภาพ (quality of life) กล่าวคือ ได้รับความคุ้มครองด้าน
สิทธิมนุษยชน (human Rights) และมีสิทธิในทางการเมือง (civil rights) ทั้งในด้านการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
การประท้วง การลงประชามติ การยื่นเสนอกฎหมาย การยื่นถอดถอนผู้แทน และสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
อื่นๆ ที่ต้องได้รับความคุ้มครอง รวมไปถึงการได้รับสวัสดิการเป็นหลักประกันขั้นต่ าและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้
สามารถด าเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ เมื่อส ารวจวรรณกรรมเกี่ยวกับกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเข้าไปแข่งขันกัน
ภายใต้กลไกการเลือกตั้งและแย่งชิงคะแนนเสียงจะพบว่ามีข้อถกเถียงอยู่ 2 ด้านส าคัญระหว่าง ด้านหนึ่งเห็น
ว่ากระบวนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อประชาชนที่จะไปลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง
เพราะผู้สมัครจะต้องมีการน าเสนอนโยบายจากการแข่งขันกันเองภายในพรรคการเมือง และประชาชนที่จะ
เลือกตั้งบนฐานความคิดว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตัว (self-interest) จะสนับสนุนผู้ที่ประสบความส าเร็จ
จากการสรรหาของพรรคการเมือง (Downs 1957) แต่ในอีกด้านหนึ่ง งานศึกษาของ Abramowitz (1989)
กลับพบว่ากระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งและการแข่งขันกันเองภายในพรรคการเมือง ไม่ได้เป็น
หลักประกันใดๆ ว่าจะสามารถได้รับเลือกตั้งจริง (electability) เพราะการแข่งขันกันภายในพรรคไม่ได้ส่งผล
ต่อความต้องการของประชาชนในการลงคะแนนเสียง เพราะประชาชนตัดสินใจเลือกบุคคลที่พรรคการเมือง
สรรหามาจากฐานของการสนับสนุนพรรคการเมืองแบบตามกันไป (the bandwagon model) อยู่แล้ว
อันเนื่องมาจากกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นกลไกในระดับพรรคการเมือง แม้ว่าจะมี
กฎหมายในระดับของรัฐเข้ามาก าหนดกรอบกติกาเอาไว้ แต่การท ากิจกรรมและการด าเนินการตามอ านาจ
หน้าที่ย่อมมีความแน่นอนน้อยกว่ากลไกของรัฐ เพราะในหลายครั้งกฎหมายอาจก าหนดไว้แบบหนึ่ง
แต่การปฏิบัติจริงของพรรคการเมืองกลับไม่สามารถด าเนินการตามที่กฎหมายว่าไว้ สะท้อนให้เห็นว่า
กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งบอกถึง “กลไกเชิงสถาบัน” ที่สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของพรรค
การเมืองและมีผลต่อการเมืองของพรรคการเมือง (Rahat and Hazan 2001, 2) ในการก าหนดพฤติกรรมของ
นักการเมือง รวมไปถึงพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนที่ติดตามกระบวนการสรรหาดังกล่าว