Page 18 - kpi22237
P. 18

13


                       ส าหรับงานศึกษาในประเทศไทยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังมีงานของ สมชัยและสิริพรรณ (2559) ที่กล่าวถึง

               พรรคที่มาจากการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรภายใต้รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2540 พรรคไทยรักไทยของ
               พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรได้รับที่นั่งส.ส.เป็นอันดับหนึ่งถึงสองสมัย จากนั้นพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรคภายหลัง
               การรัฐประหารและท าให้แกนน าพรรคไทยรักไทยที่ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองย้ายเข้ามาอยู่พรรคใหม่ คือพรรค

               พลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย โดยในการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 ทั้งสองพรรคก็ยังคง
               ได้รับที่นั่งส.ส.อันดับหนึ่ง แม้พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบและมีการย้ายพรรคไปอยู่พรรคเพื่อไทยในภายหลัง

               แต่การชนะอย่างต่อเนื่องของพรรคทักษิณนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ท าให้ประเด็นของกระบวนการคัดสรรผู้สมัคร
               ส.ส.ในนามพรรคการเมืองภายใต้การน าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสามพรรคมีความน่าสนใจมากขึ้น

               โดยพรรคการเมืองภายใต้การน าของ ทักษิณ ชินวัตรทั้ง สามพรรค (ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย)
               ใช้เกณฑ์การคัดสรรผู้สมัคร ส.ส. แบบรวมศูนย์อ านาจ (centralization) เพราะคณะกรรมการบริหารและ

               หัวหน้าพรรค มีอ านาจตัดสินชี้ขาดว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนพรรค โดยไม่เปิดเวทีให้สมาชิกพรรค
               ลงคะแนนเลือก หรือกล่าวบทข้อสรุปของงานชิ้นนี้ที่ว่าพรรคทั้งสามพรรคมีการจัดองค์กรแบบพรรคชนชั้นน า
               หรือบริษัทและแบบผู้น าครอบง าพรรค ชัยชนะของพรรคนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจัดองค์กรให้เป็นประชาธิปไตย

               แต่เพราะการเลือกทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมืออาชีพ เพื่อให้ความส าคัญกับการเลือกตั้งและ
               ผลประโยชน์ของส่วนบุคคลพรรคการเมือง


                       เมื่อมาพิจารณาในส่วนของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยอย่างพรรคประชาธิปัตย์
               งานของสันติ (2557) พบว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 เป็นต้นมา พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีการคัดเลือกผู้สมัครโดยยึด

               ตามข้อบังคับ พรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2541 แต่ภายหลังจาก พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ.2550 ประกาศใช้
               พรรคประชาธิปัตย์ได้ยกเลิกข้อบังคับ พรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2541 แล้วน าข้อบังคับ พรรคประชาธิปัตย์
               พ.ศ.2551 มาใช้ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง

               แต่กระบวนการคัดเลือกที่ประกอบด้วยสองขั้นตอน คือ ขั้นตอนการเสนอรายชื่อและขั้นตอนการตัดสินใจยังคง
               อยู่ เพียงแต่มีความแตกต่างในรายละเอียด โดยภาพรวมการที่กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครจากสมาชิกพรรค

               เริ่มต้นที่สาขาพรรค จึงอาจกล่าวได้ว่าในข้อบังคับกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคเป็นการคัดเลือก
               ผู้สมัครจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน แต่อ านาจคณะกรรมการบริหารพรรคยังคงครอบง าอ านาจของสาขาพรรคได้

               สุดท้ายการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ที่คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้ก าหนด หรืออาจกล่าวได้ว่า
               สมาชิกพรรคในสาขาพรรคไม่ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่จะเชิญชนชั้นน า

               ของพรรคที่เป็นคณะกรรมการสาขาเข้าร่วมตัดสินใจกับกรรมการบริหารพรรคในส่วนกลางเท่านั้น

                       การส ารวจงานศึกษาที่เกี่ยวข้องข้างต้นจึงค้นพบช่องว่าทางความรู้ (gap of knowledge) ในประเทศ
               การศึกษารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

               ด้วยกรอบการเมืองเปรียบเทียบว่าด้วยการพัฒนาประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นกลไกการท างานของการเมืองใน
               พรรคการเมืองว่าด้วยวิธีการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สอดคล้องกับแนวทางในการพัฒนาประชาธิปไตย

               ดังจะกล่าวในส่วนถัดไป
   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23