Page 292 - kpi21190
P. 292

292



               และมีรายได้ที่เพียงพอแตกต่างกันด้วย เช่นเดียวกับความเหลื่อมล้ำทางด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้น

               ระหว่างครอบครัวที่ยากจนกับครอบครัวที่ร่ำรวย และระหว่างคนในเมืองกับคนในชนบท
               อันเป็นความเหลื่อมล้ำในการได้รับบริการสาธารณสุขที่แตกต่างกันทั้งในเชิงคุณภาพและ
               ปริมาณ รวมถึงโอกาสที่แตกต่างกันในการได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน

                     ความเหลื่อมล้ำทางการเมืองเป็นอีกความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น แม้แต่ในประเทศที่มีระบอบ

               ประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ตาม ความเหลื่อมล้ำ
               ทางการเมืองเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ และเป็นความเหลื่อมล้ำที่มีผลต่อจิตใจมาก
               ดังจะเห็นได้ว่า ประชาชนในสังคมไทยได้รับความยุติธรรมตามกฎหมายที่แตกต่างกันเพราะไป
               เกี่ยวข้องกับสถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคมด้วย โดยคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและหรือ

               มีสถานภาพทางสังคมสูงมีโอกาสรอดพ้นจากการกระทำผิดกฎหมายได้ง่ายกว่าคนที่มีฐานะทาง
               เศรษฐกิจต่ำหรือมีสถานภาพทางสังคมต่ำ อาทิ คนที่หาเช้ากินคำ ผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น หรือ
               กรณีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่มในช่วง พ.ศ. 2552 - 2557 ที่มี
               ความเห็นหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันและส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำ

               ที่เกิดขึ้นในพื้นที่โดยได้รับการปฏิบัติที่ไม่เสมอภาค เป็นธรรมทั่วหน้ากัน

                     เพื่อให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนได้นำเสนอปัญหา
               ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในพื้นที่ของเมืองและชนบทของสังคมไทยดังนี้ (ปธาน
               สุวรรณมงคล, 2562)


               ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในเมือง


                     เมื่อพิจารณาความเป็นเมืองของโลกสามารถกล่าวได้ว่า ขณะนี้ประชากรของโลกกว่าครึ่ง
               อาศัยอยู่ในเมืองมาหลายปีแล้วและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองจึงนับเป็นแหล่งชุมชนที่มี
               ประชาชนอยู่เป็นจำนวนมากและหนาแน่น มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายก่อให้เกิด
               ความเป็นเมืองเกิดขึ้น สำหรับประเทศไทย ความเป็นเมืองก็มีมากขึ้นเห็นได้ชัดว่า ค่อย ๆ

               เปลี่ยนไปจากในอดีตที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเป็นเมือง
               มากที่สุดจนถูกเรียกว่า เอกะนคร (Primate City) และในระยะหลังได้ขยายขอบเขตความเป็น
               เมืองครอบคลุมอีกหลายจังหวัดในเขตปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร

               สมุทรปราการ นครปฐม มีประชากรอาศัยรวมกันประมาณ 10 ล้านคนเศษ รวมถึงยังเกิด
               เมืองขึ้นมาอีกหลายเมือง เช่น ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา เป็นต้น แต่ก็นับว่า ยังมีขนาดที่ห่าง
               จากกรุงเทพมหานครมากนัก สิ่งนี้สะท้อนถึงความไม่จริงใจและความล้มเหลวเชิงนโยบาย
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 5   การกระจายความเจริญของรัฐบาลที่ผ่านมานับแต่เร่งรัดพัฒนาประเทศตั้งแต่ปี 2504 เพราะ

               ในความเป็นจริงที่ปรากฏให้เห็นกลายเป็นนโยบายที่ส่งเสริมการกระจุกตัวของความเจริญ

               ไว้ที่ศูนย์กลางคือ กรุงเทพมหานคร อาทิ การทุ่มงบประมาณหลายแสนล้านในการพัฒนา
               โครงสร้างการขนส่งในเมือง บริการสาธารณสุขและการศึกษาที่มีมาตรฐานสูง ภาคธุรกิจ
   287   288   289   290   291   292   293   294   295   296   297