Page 241 - kpi21190
P. 241

241



                  เข้าไปมีอิทธิพลในกระบวนการทางการเมืองและการกำหนดนโยบายสาธารณะ สิ่งเหล่านี้เห็น

                  ได้ตั้งแต่กรณีของประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ดังเช่นในยุโรปที่มีการศึกษาชี้ให้เห็นว่า
                  ชนชั้นนำใช้ประโยชน์จากการที่มวลชนมักจะไม่มีความตื่นตัว หรือไม่มีความสนใจในประเด็น
                  ทางการเมือง ประกอบกับใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่ตนเองมีในการเข้าไปมีส่วนร่วมและมี
                  อิทธิพลในการกำหนดนโยบายเพื่อรักษาสถานภาพทางเศรษฐกิจของกลุ่มตน (Jensen and

                  Kersbergen, 2017) หรือกรณีของสหรัฐอเมริกาที่มีการชี้ให้เห็นว่า กว่าร้อยละ 80 ของ
                  การมอบเงินบริจาคทางการเมืองตั้งแต่ 200 เหรียญสหรัฐฯขึ้นไปมาจากคนที่มีรายได้สูงที่สุด
                  ร้อยละ 10 ของสังคมอเมริกัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า รัฐบาลมักจะมุ่งตอบสนองในเชิง
                  นโยบายต่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มที่มีรายได้สูงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ (Gilens, 2005)

                  นอกจากการใช้เงินในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองแล้ว บรังโค มิลาโนวิช
                  (Branko Milanovic) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ชนชั้นนำยังสามารถใช้การให้เงินสนับสนุนแก่
                  สถาบันวิจัย และสื่อมวลชน เพื่อพยายามครอบงำทางความคิด และเบี่ยงเบนประเด็นและ
                  ความสนใจของมวลชนให้ออกไปจากเรื่องความเหลื่อมล้ำและประเด็นทางเศรษฐกิจ โดยให้หัน

                  ไปสนใจในประเด็นอื่น ๆ ดังเช่น ภัยจากการก่อการร้าย การทำแท้ง การควบคุมอาวุธปืน
                  เป็นต้น (Milanovic, 2016)

                       นัยสำคัญที่สะท้อนจากงานข้างต้นคือ ชนชั้นนำได้เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้าง
                  เชิงสถาบันแบบประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถานะทางเศรษฐกิจของตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง

                  ก็คือรักษาสถานะของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ การดำเนินการดังกล่าว
                  นอกจากจะส่งผลทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังส่งผลตามมาทำให้เกิด
                  ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเมืองอีกด้วย ขณะที่คนจนสามารถมีส่วนร่วมผ่านการลงคะแนน
                  เสียง คนรวยมีช่องทางในการเข้าไปมีส่วนร่วมได้มากกว่า โดยเฉพาะผ่านช่องทางของการใช้

                  ทรัพยากรทางการเงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลในการส่งอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง และ
                  การกำหนดนโยบายสาธารณะ หากสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจะส่งผลในการ
                  “กัดกร่อนประชาธิปไตย” ได้ เนื่องจากประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางการเมืองนับเป็นหัวใจ
                  สำคัญของประชาธิปไตย (Shapiro, 2015) จากผลการศึกษาใน 141 ประเทศระหว่างปี

                  ค.ศ. 1961-2008 พบสหสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับความเหลื่อมล้ำ
                  ทางการเมือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การศึกษาเชิงประจักษ์ได้ยืนยันแล้วว่าความเหลื่อมล้ำ
                  ทางเศรษฐกิจส่งผลทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการเมือง (Houle, 2018) หากปล่อยให้
                  สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในระยะยาว โอกาสที่จะส่งผลในทางลบต่อ “ความชอบธรรมทางการเมือง

                  ของประชาธิปไตย” ก็จะมีมาก เนื่องจากพลเมืองจะมองว่าการปกครองนั้นเอื้อประโยชน์เฉพาะ
                  ต่อคนกลุ่มน้อยเท่านั้น (Diamond, 1999) อย่างไรก็ตามแม้ว่างานกลุ่มนี้จะเล็งเห็นถึงภัย
                  คุกคามของปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่มักจะไม่ได้มองว่าความเหลื่อมล้ำจะส่งผลต่อการล่มสลาย
                  ของประชาธิปไตยเสมอไป                                                                     การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3
   236   237   238   239   240   241   242   243   244   245   246