Page 234 - kpi21190
P. 234
234
ความโชคร้ายบางประการจนส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน ดังเช่น เด็กบางคนที่ผู้ปกครอง
ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการเตรียมตัวสอบเข้าเรียนได้
นอกจากนี้ ผู้แพ้จากการแข่งขันมักจะได้รับผลตอบแทนที่น้อยกว่าผู้ชนะ เมื่อเวลาผ่านไป
ความแตกต่างในสถานะและความมั่งคั่งจะมีแนวโน้มที่ส่งผ่านไปยังรุ่นสู่รุ่น จนในท้ายที่สุด
อาจส่งผลตามมาทำให้การแข่งขันจะเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียม (Atkinson, 2015)
งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งมักได้รับการอ้างถึงเป็นวงกว้างในช่วงเวลาที่ผ่านมาคืองานของ
อมาตยา เซน (Amartya Sen) ที่แม้จะให้ความสำคัญกับ “เสรีภาพ” เช่นเดียวกับนักวิชาการ
สายเสรีนิยม หรืออิสระเสรีนิยมที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่เซนตระหนักถึงข้อจำกัดของกลไก
ตลาดที่ไม่สามารถทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์
มักจะมีผู้เสียประโยชน์ เช่นเดียวกับข้อจำกัดในการจัดสรรสิ่งที่เป็นสินค้าสาธารณะ
ขณะเดียวกันยิ่งรัฐปล่อยให้กลไกตลาดทำงานมากเท่าใด จะยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
และความยากจน ซึ่งจะส่งผลตามมาทำให้มนุษย์ไม่อาจใช้สมรรถภาพ (capacities) ของตน
ได้อย่างเต็มที่ ภายใต้บริบทและเงื่อนไขดังกล่าว รัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่ออุดช่องโหว่
ที่เกิดจากกลไกตลาด และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่กระทบต่อการใช้สมรรถภาพของมนุษย์
(Sen, 1999)
อีกหนึ่งกลุ่มงานที่สำคัญที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความเหลื่อมล้ำคืองานที่
ศึกษาความเหลื่อมล้ำโดยนักสังคมวิทยา ประเด็นสำคัญที่แตกต่างจากนักปรัชญาอย่างชัดเจน
คือมุมมองที่ว่า “ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งสร้างหรือประดิษฐกรรมทางสังคม” โดยงานกลุ่มนี้
มักจะมีสมมติฐานตั้งต้นว่า องค์ประกอบสำคัญของความเหลื่อมล้ำคือ “ความแตกต่าง”
(differences) ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งสร้างทางสังคม
(socially constructed) ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางเศรษฐกิจ (รวย-จน) สถานะทางอำนาจ
(ผู้ปกครอง-ผู้ถูกปกครอง) ระดับการศึกษา (สูง-ต่ำ) ชาติพันธุ์ (ชนส่วนใหญ่-ชนกลุ่มน้อย)
ชนชั้น (ชนชั้นนำ-ชนชั้นกลาง-ชนชั้นล่าง) เพศสภาพ (หญิง-ชาย-อื่นๆ) เป็นต้น
ประดิษฐกรรมทางสังคมเหล่านี้นอกจากจะ “ขีดเส้นแบ่งความแตกต่าง” แล้ว ยังมักจะเกิด
ควบคู่กับปฏิบัติการทางสังคมบางลักษณะที่ส่งผลต่อการ “สร้างความตระหนักในความแตกต่าง”
และ “ผลิตซ้ำความแตกต่าง” ซึ่งอาจส่งผลตามมาให้เกิดการแบ่งแยกกีดกัน (exclusion) หรือ
สร้างเงื่อนไขบางประการทำให้ผู้ที่ถูกกีดกันไม่อาจใช้ศักยภาพพื้นฐานที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมาย
บางประการได้ (Therborn, 2013)
นอกจากมุมมองของนักปรัชญาและนักสังคมวิทยาที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงความรับรู้
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3 เรื่องความเหลื่อมล้ำแล้ว ยังมีงานอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามชี้ให้เห็นถึง “ภยันตรายนานัปการ
ที่ตามมาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ” นักวิชาการที่ศึกษาในประเด็นลักษณะนี้ค่อนข้างครอบคลุม
หลากหลายสาขาตั้งแต่นักเศรษฐศาสตร์ ดังเช่น งานของโจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz)
ที่ชี้ให้เห็นถึงต้นทุนสำคัญของความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง