Page 26 - kpi20899
P. 26
“การถอดบทเรียนชุมชนเพื่อการปฏิรูปกระบวนการจัดการทรัพยากร : พลวัตแห่งการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรน ้า
ในพื นที่ต้าบลหนองพันจันทร์ อ้าเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี” โดย ดร.ปริชัย ดาวอุดม และนายเจษฎา เนตะวงศ์
2.3 แนวคิดพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่เกิดจากศักยภาพของมนุษย์
ในงานเขียนของมาร์กซ์ยุคแรกๆ (อ้างใน Ritzer:1992) ได้กล่าวถึง creativity power หรือ
พลังแห่งการสร้างสรรค์ที่เกิดจากศักยภาพของมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง มาร์กซ์ ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคน
ล้วนมีพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในซึ่งเขาเรียกว่า พลังแห่งการสร้างสรรค์ (creativity power) หัวใจของพลัง
แห่งการสร้างสรรค์นั้นประกอบด้วยเงื่อนไขสามประการกล่าวคือ ประการแรกการรับรู้ของมนุษย์ว่าโลก
ทางวัตถุที่แวดล้อมตัวเรานั้นมีอะไรอยู่บ้าง มาร์กซ์เน้นย้้าว่าโลกทางวัตถุในที่นี้หาได้หมายถึงเพียงอิฐหินปูน
ทราย ถนน ตึกอาคารบ้านเรือนเท่านั้น แต่โลกทางวัตถุในที่นี้หมายรวมไปถึงโครงสร้างทางสังคม
ทั้งส่วนบนอันได้แก่บรรดาสถาบันทางสังคม การเมือง ศาสนา การศึกษา กฎหมาย รวมถึงบรรดาระเบียบ
กฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฯลฯ ที่แวดล้อมเราอยู่ และโครงสร้างส่วนล่างซึ่งมาร์กซ์ชี้ให้เห็นถึง
ความสัมพันธ์ทางการผลิต และพลังแห่งการผลิตในด้านเศรษฐกิจ ต่างก็นับเป็นโลกทางวัตถุทั้งสิ้น ครั้นเมื่อ
เรารับรู้แล้วว่าโลกทางวัตถุมีอะไรอยู่บ้าง จึงน้าไปสู่ประการที่สองคือมนุษย์จะท้าการปรับทิศทาง หรือ
แปลงรูปร่างของวัตถุเหล่านั้น เพื่อให้รู้ว่าเราจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างไร ประการสุดท้ายมนุษย์จะ
ไม่ยอมให้โลกทางวัตถุมากระท้าต่อมนุษย์เพียงฝ่ายเดียวแต่มนุษย์จะหาหนทางที่จะท้าให้วัตถุสามารถ
ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ให้จงได้ (Marx อ้างในบุญศักดิ์ แสงระวี,2559 หน้า 57-58)
การดัดแปลงโลกทางวัตถุจะเกิดในส่วนที่สามนี้ และเมื่อสนองตอบความต้องการได้จึงกลายเป็นนวัตกรรม
และเป็นภูมิปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์จึงไม่หยุดนิ่งไม่ตายตัว เคลื่อนเป็นพลวัตรไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จบ
ในส่วนของการปรับทิศทางและท้าให้วัตถุมาสนองตอบความต้องการของเรานี้จึงเป็นเรื่องข้ามวัฒนธรรมได้
เป็นการสร้างสรรค์อย่างผสมผสานซึ่งน้าไปสู่ความรู้ใหม่ๆ ภูมิปัญญาใหม่ๆ อยู่เรื่อยไป
แต่อย่างไรก็ตาม มาร์กซ์มองว่า ในโครงสร้างการผลิตแบบทุนนิยมไม่ส่งเสริมให้เกิดพลังแห่งการ
สร้างสรรค์ กรรมกรขายเวลาขายแรงงานให้กับนายทุนท้าให้กรรมกรขาดพลังในการสร้างสรรค์ เขาให้
ความส้าคัญกับค้าว่า แรงงาน (Labour) อย่างสูงค่าว่ามันหมายถึงผลรวมของการท้างาน กิจกรรมและการ
สร้างสรรค์ เพราะแรงงานท้าหน้าที่ส้าคัญในการแปลงวัตถุดิบให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแห่งการใช้สอย
แต่ในทุนนิยมมูลค่าแห่งการใช้สอยถูกลดค่าลงต่้ากว่ามูลค่าแห่งการแลกเปลี่ยน ดังนั้นการขายแรงงานของ
กรรมกรในระบบทุนนิยมจึงท้าให้ค้าว่า แรงงานลดค่าลงเป็นเพียงแค่งานรับจ้าง (Job) คือการท้าอะไรก็ได้
เพื่อให้ได้ค่าแรงเป็นเงิน ไร้กิจกรรม ไร้พลังแห่งการสร้างสรรค์ (Ritzer, 1992 หน้า55) ตัวอย่างเช่น
ด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่อยู่ภายในตัวเรา เราอาจท้าอะไรได้ดีกว่าสร้างสรรค์กว่า การยืนเอาตุ้มหู
25