Page 34 - kpi20896
P. 34
33
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศขึ้น ก็มักจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง 2) การที่มีการขยายตัว
ของภาคอุตสาหกรรมที่สูง และ 3) การมีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งจากสาเหตุดังกล่าวจึงท้าให้รัฐบาลของ
ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องเข้ามาจัดสรรรายจ่ายสาธารณะในด้านสวัสดิการสังคม (Welfare Spending) ใน
สัดส่วนที่สูงเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
ที่เกิดขึ้น ซึ่งท้าให้เกิดการขยายตัวของรายจ่ายสาธารณะในประเทศดังกล่าว
Rodrick (1998) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของโลกาภิวัตน์ (Globalization) กับรายจ่าย
สาธารณะด้านสังคมของประเทศในกลุ่ม OECD จ้านวน 23 ประเทศโดยใช้ข้อมูลระหว่างปี ค.ศ.1980-1989
พบว่าโลกาภิวัตน์ซึ่งพิจารณาจากการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (ใช้ตัวแปรสัดส่วนของมูลค่าการน้าเข้าและ
ส่งออก/GDP) มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับรายจ่ายสาธารณะด้านสังคม (วัดจากรายจ่ายสาธารณะด้านสังคม
/GDP) โดยอธิบายว่าการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนขึ้น
ทางสังคม ส่งผลให้รัฐบาลต้องเพิ่มบทบาทโดยผ่านการใช้จ่ายด้านสังคมเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
Jungkeun (1999) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นรัฐสวัสดิการของประเทศก้าลัง
พัฒนาภายใต้ยุคสมัยของโลกาภิวัตน์ โดยความเป็นรัฐสวัสดิการวัดจากรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมและศึกษา
ปัจจัยต่างๆ 4 ประการที่ส่งผลต่อความเป็นรัฐสวัสดิการ ได้แก่ 1) ปัจจัยความเป็นประชานิยมของรัฐบาล
ซึ่งวัดโดยการใช้ตัวแปรหุ่น 2) ปัจจัยด้านความเข้มแข็งของกลุ่มแรงงาน 3) ปัจจัยความเป็นประชาธิปไตย
ซึ่งวัดโดยตัวแปรหุ่น และ 4) ปัจจัยความมีเสถียรภาพของรัฐบาลโดยมีการควบคุมปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) จ้านวนประชากรที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป และ
หนี้สาธารณะ ทั้งนี้โลกาภิวัตน์วัดจาก 2 ปัจจัยคือ 1) สัดส่วนมูลค่ารวมของการน้าเข้าและส่งออกต่อผลิตภัณฑ์
มวลรวมภายในประเทศ และ 2) สัดส่วนมูลค่าการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม
ภายในประเทศ ผลการศึกษาพบว่ารัฐบาลของประเทศก้าลังพัฒนาที่มีนโยบายประชานิยมจะด้าเนินนโยบาย
เชิงสวัสดิการในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของความเป็นโลกาภิวัตน์ที่เผชิญอยู่ กล่าวคือหากรัฐบาลเผชิญกับ
โลกาภิวัตน์ที่เป็นการเปิดเสรีทางการเงิน (วัดจากสัดส่วนมูลค่าการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศต่อ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) รัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมลงเพื่อเน้น
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ในขณะที่หากรัฐบาลเผชิญกับโลกาภิวัตน์ที่เป็นการเปิดเสรีทางการค้า
(วัดจากสัดส่วนมูลค่ารวมของการน้าเข้าและส่งออกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) รัฐบาลก็มีแนวโน้ม
ที่จะปรับเพิ่มรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมให้มากขึ้นเพื่อคุ้มครองดูแลกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มแรงงาน
ผู้ด้อยโอกาส แรงงานไร้ฝีมือ เป็นต้น