Page 75 - kpi20440
P. 75

การประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้า    75
                                                                                         ครั้งที่ 20 ประจำาปี 2561
                                                                               ประชาธิปไตยไทย: ก้าวย่างเพื่อการพัฒนา




                          หลังจากนั้น ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มา ก็มิได้มีการบัญญัติถ้อยค�าดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญอีก

                  จนกระทั่งเมื่อมีการจัดท�ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ในค�าปรารภ มีการน�า
                  ค�าว่า “นิติธรรม” มาใช้อีกครั้ง โดยในส่วนของค�าปรารภที่กล่าวถึงความจ�าเป็นที่ต้องก�าหนดกลไกทางปกครอง

                  ที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ไปพลางก่อนนั้น ค�านึงถึง “หลักนิติธรรมตามประเพณีการปกครองของ
                  ประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยในการจัดท�ารัฐธรรมนูญ

                  ฉบับดังกล่าวนั้น ระหว่างการร่าง มีผู้เสนอให้บัญญัติความในมาตรา 18 ว่า “ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระใน
                  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใน พระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักนิติธรรม”

                  แต่มีผู้เห็นว่าบทบัญญัติเช่นนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ส�าหรับประเทศไทย และไม่น่าจะเหมาะสมหากน�ามาบัญญัติ
                  ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งใช้แก้ปัญหาในช่วงเวลาอันจ�ากัด จึงแก้ไขข้อความส่วนท้ายเป็นว่า “ให้เป็นไป

                                                         18
                  โดยเที่ยงธรรมตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้”   และน�าเรื่องนิติธรรมไปบัญญัติไว้ในค�าปรารภข้างต้น
                          3.1 “นิติธรรม” แทน “นิติรัฐ” : การประนีประนอมของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ


                          ในที่สุด ก็มีการบัญญัติค�าว่า “หลักนิติธรรม” ไว้ในบทมาตราในรัฐธรรมนูญไทยเป็นครั้งแรก

                  ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ความว่า


                                  “อ�านาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้
                          อ�านาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้


                                  การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและ

                          หน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม”  19


                          บทบัญญัติมาตรา 3 ในวรรคแรกนั้น เป็นบทบัญญัติว่าด้วยหลักการใช้อ�านาจอธิปไตยของประเทศไทย
                  ที่รับรองว่าอ�านาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และมีการแบ่งแยกการใช้อ�านาจโดยพระมหากษัตริย์

                  ผ่านองค์กรรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล โดยมีบทบัญญัติในลักษณะเช่นนี้มาตั้งแต่พระราชบัญญัติธรรมนูญ
                  การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ส่วนข้อความในวรรคสอง มีการบัญญัติเพิ่มขึ้นมา นอกจากนี้

                  ยังได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 78 ด้วย โดยบัญญัติว่า


                          “รัฐต้องด�าเนินการตามแนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ดังต่อไปนี้....(6) ด�าเนินการให้
                  หน่วยงานทางกฎหมายที่มีหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการด�าเนินงานของรัฐตามกฎหมายและตรวจสอบการ

                  ตรากฎหมายของรัฐ ด�าเนินการอย่างเป็นอิสระ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามหลักนิติธรรม”






                  18   วิษณุ เครืองาม, เพิ่งอ้าง, หน้า 48-49.
                  19   อย่างไรก็ดี ในบทความนี้ จะมุ่งพิจารณาถึงแต่เฉพาะมาตรา 3 วรรคสอง เป็นส�าคัญ เนื่องจากเป็นบทบัญญัติในหมวด
                  หลักทั่วไป ซึ่งน�ามาใช้กับบทบัญญัติมาตราอื่น ๆ ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยค�าว่า “นิติธรรม” ในมาตรา 78 นั้นมิได้มีบทก�าหนดให้
                  มีความหมายเป็นอย่างอื่น ย่อมต้องอาศัยความหมายตามที่จะได้มีการตีความตาม มาตรา 3 วรรคสองนั่นเอง
   70   71   72   73   74   75   76   77   78   79   80