Page 162 - kpi20440
P. 162

KPI Congress 20th
           162
                    2018
              Thai Democracy on the Move


                      ข้อสังเกตคือ งานศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองมักก�าหนดเป็นตัวแปรตามโดยการสร้างมาตรวัด

             ทิศทางของทัศนคติทางการเมืองว่ามีความโน้มเอียงไปทางประชาธิปไตยหรืออ�านาจนิยม และมักระบุกระบวนการ
             กล่อมกล่อมทางการเมืองเป็นตัวแปรต้น โดยให้ความสนในตัวแปรต้นด้านพื้นเพภูมิหลัง เช่น เพศ ระดับการศึกษา

             สาขาการศึกษา(เช่น วิทยาศาสตร์-สังคมศาสตร์ ฯลฯ) ระดับรายได้ บทบาทของสถาบันที่มีผลต่อการกล่อมเกลา
             ทางการเมือง (ครอบครัว โรงเรียน กลุ่ม/องค์กร ฯลฯ) ฯลฯ


                      ปัจจุบันงานเขียนที่วิเคราะห์ปัญหาประชาธิปไตยของไทยผ่านมิติวัฒนธรรมทางการเมืองก็ยังไม่ได้

             แตกต่างไปจากนักรัฐศาสตร์ยุคทศวรรษ 2510 มากนัก ดังเช่นงานที่มีชื่อเสียงของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง
             “สองนคราประชาธิปไตย” ที่มองว่า ปัญหามูลฐานของประชาธิปไตยไทย มีรากเหง้ามาจากความต้องการ

             ทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ระหว่างคนชั้นกลาง หรือคนในเขตเมืองกับชาวชนบทหรือชาวไร่ชาวนา
             และก่อให้เกิดความแตกแยกเป็นสองความคิด สองความต้องการและสองพฤติกรรม ประหนึ่งเป็น “สองนครา

             ประชาธิปไตย” ที่ขัดแย้งกันอยู่ คนชนบทซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่จึงเป็นศูนย์กลางปัญหาของประชาธิปไตยไทย
             เพราะมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบขายสิทธิ-ขายเสียงให้กับนักเลือกตั้ง แต่ผู้คนในชนบทมีจ�านวนมากคนเหล่า

             นี้จึงเลือกส.ส.ในสัดส่วนที่มากกว่าคนในเมืองผู้มีการศึกษาดี ซึ่งแม้เป็นคนส่วนน้อยแต่ก็มีลักษณะเป็นพลเมืองที่ดี
             คนที่มีความรู้คนเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นผู้ตั้งรัฐบาล “สองนคราประชาธิปไตย” ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาประชาธิปไตยอยู่ที่

             คนชนบท แต่กลับเป็นคนส่วนใหญ่ “ผู้ตั้งรัฐบาล” ส่วนคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยแต่มีการศึกษาดี
             มีวุฒิภาวะทางการเมืองสูง พลเมืองผู้เอาใจใส่ต่อการเมือง ฯลฯ คือ ผู้เป็นฐานนโยบาย ผู้ก�ากับ ควบคุม

             ตรวจสอบ และเป็นผู้ “ล้มรัฐบาล”


                      นอกจากสองนคราประชาธิปไตย ยังมีงานเขียนส�าคัญของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์อีกเล่มหนึ่งคือ
                                                 33
             “การเมืองของพลเมือง : สู่สหัสวรรษใหม่”   เมื่อมองผ่านมิติเรื่องประชาสังคมจากงานเขียนชิ้นนี้ ก็จะยิ่งเห็น
             ทัศนะของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่มีต่อชนบทหรือมองเห็นปัญหาวัฒนธรรมทางการเมืองของคนจนในชนบท
             ได้ชัดมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ มองว่า ประชาสังคมเกิดขึ้นในสังคมเมืองเท่านั้น ดังเส้นทางประชาสังคมในตะวันตก

             พลเมืองและจิตส�านึกพลเมืองเกิดขึ้นมาพร้อมกับตลาดหรือความเป็นเมือง


                      การศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองตั้งแต่ทศวรรษ 2510 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ได้น�ามาสู่ข้อเสนอ
             ส�าหรับการพัฒนาประชาธิปไตยแบบส�าเร็จรูป งานเขียนวัฒนธรรมทางการเมืองเช่นนี้จึงมักลงเอยด้วยข้อเสนอว่า
             ด้วยการอบรมส�านึกทางการเมืองให้ผู้คนในชนบท ดังที่ พลศักดิ์ จิรไกรศิริ ได้กล่าวเอาไว้ในบทสรุปของบทความ

             เรื่อง “วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย : ข้อสรุปจากการวิจัยเชิงประจักษ์” ว่า
       เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อยที่ 4

                              “ดังนั้น ผู้เขียนจึงฝากความหวังอันริบหรี่เอาไว้กับการศึกษามากที่สุด เพราะการศึกษา

                     สามารถท�าลายล้างสภาพเดิมและน�าการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมได้ จึงมีความเกี่ยวพันกันอย่าง
                     ใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันรวมไปถึงการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองด้วย”  34


             33   อเนก เหล่าธรรมทัศน์, การเมืองของพลเมือง : สู่สหัสวรรษใหม่ (กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์คบไฟ, 2543)
             34   พลศักดิ์ จิรไกรศิริ. “วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย : ข้อสรุปจากการวิจัยเชิงประจักษ์,”ใน วัฒนธรรมทาง

             การเมืองของไทย พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว และพลศักดิ์ จิรไกรศิริ, บรรณาธิการ (กรุงเทพมหานคร : สมาคมสังคมศาสตร์
             แห่งประเทศไทย, 2524), น. 44.
   157   158   159   160   161   162   163   164   165   166   167