Page 351 - kpi19903
P. 351
314
เหตุผลหนึ่งที่ถูกยกมาอธิบายถึงความต้องการเข้ามามีบทบาทในการเลือกตั้งของคนชนบทก็คือการ
เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อคนชนบทที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาค โดยอธิบายว่าจากเดิมที่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ชาวบ้านถูกมองว่าเป็นคน โง่จนเจ็บ เนื่องจากในอดีตคนยากจนในชนบทที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีมาก เงิน
จะมีความส าคัญ แต่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมาท าให้ชาวบ้านมีรายได้ที่สูงขึ้น เงินตราที่ถูก
น ามาใช้ในการ หน้าที่เป็นใบเบิกทางสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับชุมชน แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด ซื้อเสียง
ในการเลือกตั้งเสมอไป ท าให้ระบบอุปถัมภ์แบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป โดยมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็น
ทางการมากขึ้น เช่นนักการเมืองต้องหานโยบาย หรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของคนเหล่านี้
เพิ่มขึ้น (จักรกริช สังขมณี, 2554b)
นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าท าไมเขตเลือกตั้งที่อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมจึงออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง การ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในชั่วหนึ่งอายุคนที่ผ่านมานั้น ได้สร้าง ขึ้นมาด้วย วัฒนธรรมของความเสมอหน้า
ซึ่งหมายความว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ยอมรับการเมืองแบบเก่า ที่คนชั้นกลางมีการศึกษาสูงเป็นผู้
ก าหนดหรือพยายามก ากับอีกต่อไป คนชนบทจึงอยากออกไปเลือกตั้ง (ผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2555) เช่นเดียวกับ
การศึกษาของนิธิ ที่พบว่าในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาท าให้เกิด คนชั้นกลางในชนบทที่มีความตื่นตัวทาง
การเมือง ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเฉพาะผ่านการเลือกตั้ง เพราะมีผลอย่างส าคัญต่อการก าหนด
นโยบายสาธารณะ (นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2555) ในขณะที่คนเมืองไม่ได้ให้ความสนใจกับการเลือกตั้งมากนัก โดย
นอกจากจะไม่ค่อยใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้วยัง ยังมีแนวโน้มจะลงคะแนนแบบไม่ประสงค์ลงคะแนนอีกด้วย ในขณะที่ไม่
ไม่พบพฤติกรรมแบบนี้ในพื้นที่เกษตรกรรม มีการศึกษาที่ให้เหตุผลเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ไว้ว่าเนื่องจากคนเมืองซึ่ง
เป็นคนส่วนน้อยในสังคมมีรายได้สูง การศึกษาดี เป็นแรงงานในส่วนที่มีความส าคัญต่อการพัฒนาจึงมีเครื่องมืออื่น
ที่จะต่อรองกับรัฐได้มากกว่า (อภิชาต สถิตนิรามัย et al., 2556a)
ประชาชนได้ค านึงถึงผลประโยชน์อันเป็นสิ่งที่พวกเขาพึงจะได้รับหลังการเลือกตั้ง นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่
ประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีรายได้น้อยและมีการศึกษาไม่สูงออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในขณะที่คนเมืองที่มีรายได้
และการศึกษาสูง เพิกเฉยหรือมีความกระตือรือร้นต่อการเลือกตั้งน้อยกว่า และเนื่องจากปัจจุบันทุกคนสามารถ
เข้าถึงสื่อได้อย่างเท่าเทียม การรับรู้ข่าวสารจึงไม่ถูกจ ากัดอีกต่อไป ดังนั้นการที่จะกล่าวว่าคนเมืองเป็นฐานนโยบาย
นั้นก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียว หากแต่ชาวชนบทที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศที่เป็นคนส่วนใหญ่ของ
ประเทศก็เป็นฐานนโยบายเช่นกัน เห็นได้ชัดจากนโยบายประชานิยมที่ถูกใจคนรากหญ้าของรัฐบาลพรรคไทยรัก
ไทยที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นและยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันคงเป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งในการอธิบายว่า
ชาวชนบทที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ไม่ได้เป็นแค่ฐานเสียงหากแต่ยังเป็นฐานนโยบายที่พรรคการเมืองต่าง ๆ
ต้องมีนโยบายมาเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของคนเหล่านี้อันเป็นเสียงข้างมากในสังคมไทย
ตัวแปรภูมิศาสตร์ตัวที่สามที่ท านายความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ได้ดีคือความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial
autocorrelation) การศึกษานี้พบความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของผลการเลือกตั้งทุกพรรคการเมือง รวมถึงพฤติกรรม