Page 346 - kpi19903
P. 346
309
ส าหรับผลการวิเคราะห์ระดับเขตเลือกตั้งพบว่า 1.ร้อยละของการศึกษาระดับประถมมีความสัมพันธ์
ทางบวกกับร้อยละที่เลือกพรรคเพื่อไทยแบบแบ่งเขต แต่ร้อยละของการศึกษาระดับมัธยมปลาย, ปวส. หรือ
อนุปริญญา, ปริญญาตรี, และปริญญาโทสัมพันธ์ทางลบกันร้อยละที่เลือกพรรคเพื่อไทยแบบแบ่งเขต 2. แทบจะไม่
พบความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละของระดับการศึกษาของประชาชนกับร้อยละที่เลือก ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์แบบ
แบ่งเขต 3. ร้อยละของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นมีความสัมพันธ์ทางบวกกับร้อยละที่เลือก ส.ส. พรรคภูมิใจ
ไทยแบบแบ่งเขต 4. แทบไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละของระดับการศึกษาของประชาชนในแต่ละเขต
เลือกตั้งและผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 5.ร้อยละของระดับการศึกษาที่ไม่เคยเข้าโรงเรียนและจบประถม
สัมพันธ์ทางบวกกับร้อยละบัตรเสีย แต่ร้อยละของระดับการศึกษามัธยมปลาย, จบปวส. หรือ อนุปริญญา, จบ
ปริญญาตรี, และจบปริญญาโท สัมพันธ์ทางลบกับร้อยละของบัตรเสีย 6. ร้อยละของระดับการศึกษาก่อน
ประถมศึกษาและจบประถมศึกษาสัมพันธ์ทางลบกับร้อยละของ Vote No ในขณะที่ร้อยละของระดับการศึกษา
มัธยมต้น, จบมัธยมปลาย, จบปวส. หรือ อนุปริญญา, จบปริญญาตรี, และจบปริญญาโทสัมพันธ์ทางบวกกับร้อย
ละของ Vote No และ 6. แทบจะไม่พบความสัมพันธ์ที่ระหว่างร้อยละของระดับการศึกษากับร้อยละของผู้ที่ไม่ไป
ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ผลการศึกษานี้ค่อนข้างสอดคล้องกับการศึกษาของ ถวิลวดี บุรีกุล ที่พบว่าประชาชนที่มีการศึกษาน้อย
กว่าจะเลือกพรรคเพื่อไทย (ถวิลวดี บุรีกุล, 2554b) และการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งของไทยปี 2550 พบว่า
คนที่มีความนิยมต่อพรรคพลังประชาชนเป็นคนที่มีระดับการศึกษาต่ า ส่วนคนที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะไม่
นิยมพรรคพลังประชาชน และมีความคิดจะไม่เลือกพรรคพลังประชาชน และพรรคชาติไทยด้วย (อรรถสิทธิ์ พาน
แก้ว, 2556a) สอดคล้องกับมูลนิธิเอเชียในเดือนธันวาคม 2556 ได้ส ารวจข้อมูลจากผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง
พบว่าโปรไฟล์ของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส มีระดับการศึกษาสูงกว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมกับ นปช (The Asia
Foundation, 2013b) ในแง่ของการศึกษายังมีผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับระดับการศึกษากับพฤติกรรมการเลือกตั้งไว้
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยได้ให้ความเห็นว่าผู้สมัครคุณภาพอาจจะไม่ได้รับการ
เลือกตั้ง เพราะระดับการศึกษาของประชาชนยังไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนจะเลือกผู้สมัครที่มี
ชื่อเสียงเป็นผู้มีบุญคุณต่อตน หรือผู้มีอิทธิพล มีอ านาจบารมี มากกว่าเลือกผู้ที่ไม่คุ้นเคย (พวงเพ็ชร ชุนละเอียด,
2542)
สิ่งที่น่าผิดหวังคือไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ระดับบุคคลหรือระดับเขตเลือกตั้งมีแนวโน้มที่ผู้ที่มีการศึกษา
สูงจะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากหน้าที่การงานของผู้มีการศึกษาสูงจึงไม่มีเวลาไป
ใช้สิทธิเลือกตั้ง อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากความไม่ใส่ใจ ไม่เห็นอรรถประโยชน์ของการไปลงคะแนนเสียง
เลือกตั้งเนื่องจากผู้มีระดับการศึกษาสูงไม่มีความจ าเป็นต้องคาดหวังอรรถประโยชน์ทางการเมืองจากการเลือกตั้ง
เนื่องจากพึ่งพาตนเองได้ดีอยู่แล้ว