Page 311 - kpi17073
P. 311

310     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 ที่ได้นำมาสู่การปฏิรูปการเมืองและระบบราชการไทยตามรัฐธรรมนูญ
                  แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยการปฏิรูปที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากความพยายาม

                  ในการปฏิรูปการเมืองให้ฝ่ายบริหารมีเสถียรภาพแล้วนั้นยังเป็นการเสริมสร้างอำนาจให้กับ
                  ข้าราชการการเมืองในฐานะฝ่ายบริหารได้เข้ามามีบทบาทที่เพิ่มสูงขึ้นในกระบวนการกำหนด
                  นโยบายและการบริหารราชการแผ่นดินตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


                       ภายหลังจากการปฏิรูปที่เกิดขึ้นส่งผลให้ข้าราชการการเมืองที่มีกลุ่มทุนธุรกิจและกลุ่ม

                  ผลประโยชน์ต่างๆ เป็นฐานในการสนับสนุน ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทนำในการกำหนดนโยบายและ
                  ทิศทางในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลแทนที่ข้าราชการประจำ โดยมีความคาดหวังที่จะ
                  รับผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นการตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้น บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่ง

                  ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หลายประการส่งผลให้ฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง
                  โดยประชาชนนั้นเป็นฝ่ายบริหารที่มีเสถียรภาพโดยที่รัฐสภาอาจมีข้อจำกัดหลายอย่างในการ

                  ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลได้ ดังที่เราจะเห็นได้จากการเมืองไทยในช่วงของรัฐบาล
                  พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร (พ.ศ. 2544-2549) ที่รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก


                       ในช่วงเวลาดังกล่าว ฝ่ายการเมืองจึงได้ก้าวเข้ามามีบทบาทโดยตรงต่อการแต่งตั้งและ
                  โยกย้ายข้าราชการประจำเพื่อตอบสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองและผู้สนับสนุน

                  พรรคการเมืองของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัดอันทำให้กระบวนการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการ
                  ประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการประจำระดับ นักบริหารระดับสูง (ระดับ 10-11 เดิม) ที่เกิด
                  ขึ้นนั้นอาจมิเป็นไปตามตามระบบคุณธรรม (Merit system) แต่เป็นไปตามระบบอุปถัมภ์

                  (Patronage system) ของข้าราชการการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของ
                  ข้าราชการการเมืองและพรรคการเมืองที่อยู่ในซีกของรัฐบาล อันทำให้ข้าราชการประจำที่มีความ

                  เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนั้นๆ สูญเสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติราชการเพื่อตอบสนอง
                  ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนแต่ในทางกลับกันข้าราชการประจำที่เป็นเครือข่ายฝักฝ่ายของ
                  ข้าราชการการเมืองและสามารถตอบสนองผลประโยชน์ของนักการเมืองได้กลับได้รับการแต่งตั้ง

                  ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน


                       สภาพปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำที่เกิดขึ้น
                  เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่นำไปสู่การยึดอำนาจทางการปกครองโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ
                  ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549  ซึ่งนำโดย
                                                                                                20
                  พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน โดยการยึดอำนาจทางการปกครองที่เกิดขึ้นได้นำมาสู่การปฏิรูป
                  การเมืองและระบบราชการไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่มุ่ง

                  สร้างกลไกที่เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพเข้ามามีบทบาทในการถ่วงดุลและตรวจสอบการทำงาน
                  ของรัฐบาลได้มากขึ้น โดยกลไกหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3   ข้าราชการประจำ ก็คือ “คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)” โดยกลไกดังกล่าว
                  พ.ศ. 2551 เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทางความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองและ





                        ดูเหตุผลที่ปรากฏในประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
                    20
                  ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 1 ประกอบ
   306   307   308   309   310   311   312   313   314   315   316