Page 308 - kpi17073
P. 308

การประชุมวิชาการ
                                                                                         สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16   307


                      Appleby ได้อธิบายต่อว่าเหตุที่นักวิชาการหลงผิดว่าการบริหารแยกออกจากการเมืองได้นั้นเป็น
                      ความเชื่อตามรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องหลักของการแบ่งแยกอำนาจ

                      (Separation of Power) ที่แยกอำนาจเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ จึงทำให้
                      เชื่อว่าฝ่ายบริหารไม่ได้มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย และทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสังคม
                      สามารถมีระบบบริหารงานข้าราชการพลเรือน (Civil Service System) ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติตาม

                      นโยบายด้วยความเป็นกลางอย่างไม่เข้าใครออกใครได้ นอกจากนี้ Paul H. Appleby ยังได้ย้ำว่า
                      แท้ที่จริงแล้วนั้นอำนาจในการกำหนดนโยบายมิใช่เป็นอำนาจที่ผูกขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะ

                      เป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือตุลาการ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นฝ่ายบริหารก็มีส่วนในการกำหนด
                      นโยบายเช่นกัน  ดังนั้นวิวัฒนาการของแนวคิดการเมืองและการบริหารของกลุ่มนักวิชาการในช่วง
                                     11
                      ที่สองนั้น จึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่ว่า “การบริหารและการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้”

                      ซึ่งแนวคิดในกลุ่มที่สองนี้นั้นถือเป็นกรอบแนวคิดที่สำคัญของบทความนี้


                            และจากการที่แนวคิดว่าด้วยการเมืองและการบริหารมีพลวัต (dynamic) อย่างต่อเนื่องดังที่
                      กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้น ได้ส่งผลโดยตรงต่อความหมายและรูปแบบของการเมืองและการบริหาร
                      ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจักขออธิบายถึงคำสองคำที่เป็นหัวใจหลักของแนวคิด

                      ดังกล่าว คือคำว่า “การเมือง” กับ “การบริหาร” โดยชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้นิยามคำสองคำไว้
                      ดังนี้ดังนี้


                            “การเมือง” นั้นเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง
                      กับการตัดสินใจเชิงคุณค่าโดยตรง ซึ่งเป็นการตัดสินใจว่าควรดำเนินนโยบายเช่นนี้และเป็นการ

                      ยอมรับว่านโยบายนั้นดีกว่าทางเลือกด้านอื่นๆ โดยนักการเมืองสามารถอ้างความชอบธรรมในการ
                      เลือกและกำหนดคุณค่าได้ ก็เพราะการที่ได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชน และเป็นผู้กลั่นกรอง

                      และสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน

                            “การบริหาร” เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายเพื่อทำให้บรรลุถึงเป้าหมายหรือคุณค่า

                      ที่นักการเมืองได้กำหนดไว้


                            ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าหลักการพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง (ข้าราชการ
                      การเมือง) กับการบริหาร (ข้าราชการประจำ) จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย (Ends) กับ

                      วิธีการ (Means)  ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เปรียบความสัมพันธ์ดังกล่าวเสมือนคนละด้าน
                                      12
                      ของเหรียญอันเดียวกัน
                                           13



                         11   Paul H. Appleby, Policy and Administration (Birmingham, Alabama: The University of Alabama
                      Press, 1949), pp. 1-5 อ้างถึงใน พิทยา บวรวัฒนา, รัฐประศาสนศาสตร์: ทฤษฎีและแนวการศึกษา (ค.ศ.1887-
                      ค.ศ.1970)(กรุงเทพ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538), หน้า 60-61
                         12   ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ปัญหาการพัฒนาทางการเมืองไทย (กรุงเทพ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
                      2536), หน้า 228-229
                         13   สร้อยตระกูล อรรถมานะ, ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ (กรุงเทพ: คณะ  การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3

                      รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2544), หน้า 1
   303   304   305   306   307   308   309   310   311   312   313