Page 149 - kpi17073
P. 149
148 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16
เมื่อพิจารณาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองของไทย พบว่าการเลือกตั้งซึ่งตามแนวทาง
การปฏิรูปการเมืองนั้นต้องการให้เกิดความสุจริตโปร่งใสและเป็นธรรมในการเข้าสู่ตำแหน่ง
ทางการเมือง เป็นเครื่องมือการมอบอำนาจจากประชาชนสู่ผู้แทน แสดงถึงการมีและใช้อำนาจ
สูงสุดในการปกครองของประชาชน แต่ผลในทางปฏิบัติกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม กล่าวคือ
การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติทางการเมือง หรือวิกฤตทางการเมืองทำให้เกิดวิกฤติ
การเลือกตั้ง เนื่องจากมีความไม่เชื่อมั่นและไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ถึงกับมีการต่อต้านคัดค้าน
หรือปฏิเสธการเลือกตั้ง และมีการเสนอให้ศาลวินิจฉัย ชี้ขาดว่าการเลือกตั้งที่จัดโดย
คณะกรรมการการเลือกตั้งนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย โดยที่วงจรนี้เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองครา
ครั้งแรกในช่วง พ.ศ.2549 และครั้งที่สองในช่วง พ.ศ.2557 ที่วิกฤตหนักมากขึ้นถึงขนาดกับมี
การปิดกั้นการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในสังคม
ไทยมาก่อน วิกฤติการณ์ความขัดแย้งในการเลือกตั้งนี้ไม่เพียงทำให้ไม่สามารถเลือกผู้แทนเข้าไป
ทำหน้าที่ในในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้เท่านั้น เพราะความขัดแย้งที่ร้าวลึกและกว้างขวาง
มากนี้อาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้ต่อไป
แม้ว่าจะพยายามแสวงหาทางออกโดยกลไกที่มีอยู่ ดังเช่นวิกฤติการณ์รอบแรกในช่วง
พ.ศ.2549 นั้น มีการเสนอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาด และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 มีปัญหาความชอบด้วย
รัฐธรรมนูญ ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ.2549 เฉพาะมาตรา 4 และการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับมติในการ
จัดคูหาเลือกตั้ง ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ เป็นการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดผลของการเลือกตั้งที่ไม่
เป็นธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้งที่มิชอบ
ด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 104 วรรคสาม และมาตรา 144 (คำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549) และในวิกฤติการณ์รอบสอง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 มิได้จัดการให้มีการเลือกตั้ง
วันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง
(คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2557)
เมื่อพิจารณาในส่วนของการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พบว่าสาเหตุวิกฤตขัดแย้งใน
สังคมส่วนหนึ่งเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบและองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งมีผลต่อความ
ไม่เชื่อมั่นและไม่ยอมรับในผลของคำวินิจฉัยชี้ขาด คณะกรรมการ ป.ป.ช.ถูกท้าทายความชอบ
ธรรมในการมีและใช้อำนาจตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบผู้แทนที่มาจากการ
เลือกตั้งของประชาชน ในการดำเนินนโยบายสาธารณะ ซึ่งถูกนิยามและตีความรวมถึงให้คุณค่า
แตกต่างกันไป คือนโยบายประชานิยม (Populist Policies) รวมถึงอำนาจในการตรวจสอบการ
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 1 ออกกฎหมายและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา และการตรวจสอบการใช้
อำนาจโดยมิชอบในเชิงป้องกัน เช่น การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินหนี้สินหรือความร่ำรวยผิดปกติ
การตรวจสอบและถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง และการใช้อำนาจตรวจสอบในเชิงปราบปราม