Page 139 - kpi17073
P. 139

138     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายมหาชน จึงต้องวินิจฉัยตามเจตนารมณ์ที่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
                  นั้นต้องไม่มีสถานะอันอาจก่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังนั้น การเป็น “ลูกจ้าง” หรือ

                  “ผู้รับจ้าง” จึงมิได้มีนัยสำคัญเพราะไม่ว่าจะมีสิทธิหรือมีความรับผิดแตกต่างจากกันในทางแพ่ง
                  อย่างไร แต่สาระสำคัญของสองสถานะนี้ คือการเป็นตำแหน่งที่ “รับเงินจากการทำงานให้ผู้อื่น”
                  ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หากพิจารณาในแง่มุมนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

                  ก็ถือว่าสมเหตุสมผล


                       แต่ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ
                  ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตุลาการที่มีความเชื่อมโยงกับประชาชนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
                  ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น สัดส่วนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากฝ่าย

                  ตุลาการนั้นมีมากจนเกินกึ่งหนึ่งขององค์คณะทั้งหมดที่จะมีได้ในศาลรัฐธรรมนูญ คืออยู่ที่สัดส่วน
                  5 ต่อ 4 คน และ 4 คนที่เหลือนั้น ก็ไม่ได้มาจากการเลือกหรือการสรรหาโดยตรงจากตัวแทน

                  ประชาชนด้วย แต่เป็นการ “ให้ความเห็นชอบ” โดยวุฒิสภา (ซึ่งวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550
                  ก็ประกอบด้วยตัวแทนโดยตรงจากการเลือกตั้งเข้ามาของประชาชนเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น) ซึ่งอำนาจ
                  ในการสรรหาตัวบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นของคณะกรรมการ

                  สรรหา ที่มีตัวแทนจากฝ่ายสภาเพียงสองคนจากห้าคนเท่านั้น


                       การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความเชื่อมโยงกับประชาชนน้อย แต่อำนาจหน้าที่ของ
                  ศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องใดที่เป็นการขัดหรือแย้งต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ
                  ฝ่ายการเมืองที่มีที่มาใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินปัญหาที่มี

                  ความเกี่ยวข้องในทางการเมือง ซึ่งหลายกรณีเป็นการชี้ถูกชี้ผิดในทางการเมือง หรือเป็นการให้
                  อำนาจ หรือจำกัดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากตัวแทนของประชาชนส่วนมากของประเทศ ด้วยเหตุนี้

                  การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ย่อมก่อให้เกิดแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่ปะทะอยู่ใน
                  ด้านตรงข้ามกับศาลรัฐธรรมนูญ คือประชาชนเสียงข้างมาก ที่ต้องไม่ลืมว่า อำนาจอธิปไตย
                  หรืออำนาจสถาปนาองค์กรทางการเมืองนั้น ไม่ว่าจะมองด้วยมุมมองอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า

                  ผู้ทรงสิทธิดังกล่าวนั้นส่วนหนึ่งได้แก่ประชาชน และประชาชนนี้เองจะเป็นผู้ตัดสินว่า ในรัฐ
                  ในประเทศใด สมควรมีสถาบันการเมืองหรือมีองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจรัฐอย่างไร

                  เพราะศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคำตอบเดียว หรือตัวเลือกเดียวสำหรับการวางตำแหน่ง
                  องค์กรที่ทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ รวมทั้งก็ไม่ใช่ตัวเลือกแบบบังคับเลือกสำหรับประเทศที่เลือก
                  ใช้ระบบศาลคู่ด้วย เช่นกรณีของติมอร์ เลสเต ที่ได้รับเอกราชจากอินโดนีเซียในปี ค.ศ. 2002

                  ที่มีระบบศาลคู่ ประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลภาษี ศาลบัญชี และศาลทหาร แต่ก็
                  เลือกที่จะให้อำนาจวินิจฉัยปัญหาทางรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของศาลฎีกาโดยไม่จำเป็นต้องไม่มี

                                   15
                  “ศาลรัฐธรรมนูญ”  หรือเช่นประเทศที่เคยเลือกใช้ระบบศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ก็ยกเลิกที่จะ
                  มีศาลรัฐธรรมนูญไปให้ระบบศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาทางรัฐธรรมนูญแทน เช่นกรณีของ
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 1      15   รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งติมอร์ เลสเต มาตรา 123 และ 126 ตัวบทภาษาอังกฤษ สืบค้น




                  จาก เวบไซต์ทำเนียบรัฐบาลแห่งติมอร์เลสเต : http://timor-leste.gov.tl/wp-content/uploads/2010/03/
                  Constitution_RDTL_ENG.pdf
   134   135   136   137   138   139   140   141   142   143   144