Page 109 - kpi17073
P. 109
108 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16
สามัญหรือสภาผู้แทนราษฎร (House of Commons) โดยที่สภาสามัญมีอำนาจสูงสุดเหนือ
อำนาจบริหาร ดังคำพังเพยของอังกฤษที่ว่า “สภาสามัญมีอำนาจสูงสุดที่สามารถออกกฎหมายได้
ทุกชนิดยกเว้นการออกกฎหมายให้ชายเป็นหญิงหรือหญิงเป็นชาย” (The House of Commons
has the supreme power over the nation and can enact any law to enforce every
person except to enact a law to change sex from male to female or female to male)
แต่เมื่อนำระบบการเมืองแบบอังกฤษมาใช้กับระบบการเมืองไทยกลับเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ
การสร้างอำนาจที่เข้มแข็งให้กับอำนาจบริหาร (strong executive) มากกว่าอำนาจนิติบัญญัติ
จนกลายเป็นการทำให้อำนาจนิติบัญญัติเป็นเครื่องมือของอำนาจบริหารจนทำให้อำนาจนิติบัญญัติ
อ่อนแอ (weak legislative) ไม่สามารถเปทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” (agent) ของประชาชน
ที่เลือกผู้แทนราษฎรเข้ามาเป็นปากเสียงและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้ตามหลักการ
ที่ควรจะเป็นตามแบบอย่างระบบการเมืองแบบรัฐสภาของอังกฤษ ถึงแม้ระบบพรรคการเมือง
ที่ลอกเลียนแบบ “ระบบการเมืองแบบพรรคการเมืองอังกฤษ” (British party politics system)
มาใช้แต่ก็ใช้ไม่ได้ผลสำหรับประเทศไทย เพราะพรรคการเมืองได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
(political tool) ของชนชั้นนำทางการเมือง (political elite) ในการสร้างความชอบธรรม
(legitimacy) ให้กับอำนาจของชนชั้นนำที่เข้าสู่อำนาจรัฐโดยอ้างชัยชนะในการเลือกตั้งมาเป็น
ความชอบธรรม การแข่งขันชิงชัยในการเข้าสู่อำนาจรัฐโดยพรรคการเมือง (party politics) ของ
ไทยจึงมีลักษณะของ “ทรัพย์สินส่วนบุคคล” (personal property) มากกว่าเป็น “พรรคการเมือง
แห่งปวงชน” (mass party) ดังเช่นระบบพรรคการเมืองของอังกฤษ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิด
การแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มชนชั้นนำทางการเมือง (political elite) ทำให้เกิดกลุ่ม
“นักธุรกิจการเมือง” (business politician) มากมาย มีการเล่นการเมืองนอกกติกา มีการโกง
การเลือกตั้ง การซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสร้างนโยบายการหาเสียงแบบประชานิยม
มีการ “ถอนทุน” ของพรรคการเมืองที่ได้อำนาจรัฐภายหลังชนะการเลือกตั้ง รวมทั้งการขาด
พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง (weak opposition) เป็นต้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือความ
ไร้เสถียรภาพทางการเมือง (political instability) อันนำไปสู่ปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ
ในหลายกรณีเมื่อเกิดภัยพิบัติแห่งชาติ เช่น สถานการณ์คอมมิวนิสต์หลังสงครามเย็น (พ.ศ.
2488-2538) ในประเทศไทยที่สร้างความแตกแยกของคนในชาติและสร้างความเสียหายทาง
เศรษฐกิจและสังคมกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลในระบบรัฐสภาไม่สามารถแก้ปัญหาได้
อย่างมีประสิทธิภาพได้เนื่องจากรัฐบาลขาดเสถียรภาพและเกิดความแตกแยกของประชาชน
มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในที่สุดกองทัพที่ได้รับการหล่อหลอมจิตสำนึกทางการเมืองในการป้องกัน
รักษาเอกราชมาตั้งแต่การก่อตั้งรัฐไทยมาตั้งแต่แรกเริ่มก็จะยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาล
พลเรือนเพื่อปกป้องประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความแตกแยกของประชาชนในชาติ
สำหรับประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทในการสร้างและรักษาดุลภาพของ
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 1 ตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งรัฐไทยในอดีตจนถึงปัจจุบันที่มีอายุยาวนานกว่า 3,000 ปีก็ตาม ทั้งนี้
อำนาจ (balance of power) ในระบบโครงสร้างอำนาจรัฐ (state power structure) มาโดย
ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์มีความเหมาะสมกับสังคมไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับของ
ประชาชนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ