Page 95 - kpi16607
P. 95
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ชนชั้นนำไทยยังเอาทั้ง “เสนาธิปไตย” (Militocracy)
และ “ตุลาการธิปไตย” (Juristocracy) มาใช้เป็นเครื่องมือของการควบคุม
ทางการเมือง อันทำให้รัฐประหารในไทยปรากฏอยู่ใน 2 รูปแบบ คือรัฐประหาร
ของกองทัพ (military coup) และรัฐประหารของตุลาการ (judicial coup) ดังนั้น
แม้ พวกเขาชนะในการรัฐประหาร 2549 แต่ครั้นถึงปลายปี พ.ศ. 2550 ก็ย่อม
ที่จะปล่อยให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเกิดขึ้นด้วยการเลือกตั้ง และเมื่อถูก
ท้าทายอย่างมากในปี พ.ศ. 2552 และ 2553 พวกเขาก็ตัดสินใจใช้กำลัง
ติดอาวุธเข้าล้อมปราบการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่พวกเขาสนับสนุน แม้จะมีการนำ
กำลังทหารเป็นจำนวนมากออกมาบนถนนเพื่อเผชิญกับการชุมนุมของฝูงชน แต่ก็
ไม่นำไปสู่รัฐประหาร และแม้จะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลในขณะนั้น
ก็ไม่ได้ล้มลงเช่นรัฐบาลในกรณีตุลาคม 2516 หรือกรณีพฤษภาคม 2535
เมื่อการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 และจบลงด้วยความ
พ่ายแพ้ของพรรคอนุรักษ์นิยมแล้ว ปัญหาของชนชั้นนำก็กลับมาสู่ประเด็นเดิมของ
การจะต้อง “ควบคุม” การเมืองให้เดินไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการให้ได้
เช่นเดียวกับชนชั้นกลางในเมืองยังคงแสดง “ความเกรี้ยวกราด” กับระบอบ
เลือกตั้งไม่หยุดหย่อน จนกลายเป็นฐานรองรับให้เกิดความชอบธรรมอย่างดีแก่
การยึดอำนาจในปี พ.ศ. 2557 แต่ปัญหาก็คือแล้วระบอบการปกครองของทหาร
39
ในไทยจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด พวกเขาจะทานแรงบีบคั้นจากภายในและ
ภายนอกไปได้นานเท่าใด หรือวันนี้ชนชั้นนำและผู้นำทหารเชื่ออย่างมั่นใจว่าด้วย
การปลุกระดมต่อต้านประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ของชนชั้นกลางที่ไม่พอใจต่อการเลือกตั้ง ตลอดรวมถึงการโหมโฆษณาสร้าง
ภาพลักษณ์ของผู้นำกองทัพให้เป็นดัง “เซเวีย” กองทัพจะอยู่ไปอีกนานใน
การเมือง และหากการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอีก พวกเขาจะออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับ
ใหม่ให้กลายเป็น “กำแพง” ขวางการกลับเข้ามาของกลุ่มนิยมทักษิณ หรืออีก
นัยหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นอุปกรณ์ของการควบคุมการเมืองของชนชั้นนำ
39 ดู Marx Saxer (เขียน) ; ภัควดี วีระภาสพงษ์ และคณะ (แปล), “โทสะชนชั้นกลาง
คุกคามประชาธิปไตย,” สังคมไทยในวังวนแห่งวิกฤตเปลี่ยนผ่าน.
สถาบันพระปกเกล้า