Page 98 - kpi16607
P. 98
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ด้วยกฎหมาย” อีกทั้งยังเปิดช่องทางการใช้อำนาจแบบพิเศษว่า “เมื่อนายกรัฐมนตรี
ได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามวรรคก่อนแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภา
ผู้แทนราษฎรทราบ...”
ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 17 เช่นนี้ทำให้จอมพล สฤษดิ์ กลายเป็นผู้นำ
ทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และได้มีการใช้อำนาจตาม
มาตรานี้ในหลายๆ กรณี เช่น การยิงเป้าเจ้าของบ้านต้นเพลิง เมื่อเกิดกรณี
เพลิงไหม้ เป็นต้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเท่าใดนักที่จะพบว่า ผู้คนในยุคนั้นมีความ
เกรงกลัวต่อรัฐบาลทหารเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำอย่างจอมพลสฤษดิ์
สามารถจับกุมหรือประหารชีวิตบุคคลได้โดยไม่ต้องผ่านการตัดสินของ
กระบวนการยุติธรรม
แต่รัฐประหาร 2514 ในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร กลับเริ่มเห็นภาพ
ที่แตกต่างออกไป ดังจะเห็นได้ว่าอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน คือ
0 คุณอุทัย พิมพ์ใจชน (อดีต สส.ชลบุรี) คุณอนันต์ ภักดิ์ประไพ (อดีต
สส.พิษณุโลก) และคุณบุญเกิด หิรัญคำ (อดีต สส.ชัยภูมิ) ได้ร่วมกันเป็นโจทก์
ยื่นฟ้องคณะรัฐประหารของจอมพลถนอม แม้ศาลจะไม่ได้มีโอกาสพิจารณาคดีนี้
เพราะรัฐบาลได้ออกคำสั่งให้จับกุมบุคคลทั้งสาม และอาศัยอำนาจของรัฐบาล
ทหารสั่งจำคุกทั้งหมด แม้การฟ้องครั้งนี้จะจบลงด้วยการถูกจำคุก แต่ก็
เปิดประเด็นให้เห็นว่า คนเริ่มไม่กลัวรัฐประหารเช่นในยุคเก่าอีกต่อไป และความ
ไม่กลัวเช่นนี้ขยายตัวต่อมาจนนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และนำไปสู่
ความพ่ายแพ้ของทหารครั้งแรกในการเมืองไทย แต่กองทัพก็หวนกลับสู่การเมือง
อีกในปี พ.ศ. 2519
ในยุคต่อมา การต่อต้านรัฐประหารก็ปรากฏให้เห็นไม่แตกต่างกัน โดย
เฉพาะปฏิกิริยาต่อการยึดอำนาจของ “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ”
(รสช.) ที่นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
เกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่น และยกระดับสู่จุดสูงสุดจนกลายเป็นการประท้วงใหญ่
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 อันทำให้กองทัพเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเมืองไทย
เป็นครั้งที่สอง และเป็นสัญญาณถึงการถดถอยของอำนาจกองทัพในการเมืองไทย
ในยุคหลังสงครามเย็น
สถาบันพระปกเกล้า