Page 100 - kpi16607
P. 100
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ดังนั้น สงครามอุดมการณ์ของยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงกลายเป็น
“หน้าต่างแห่งโอกาส” บานสำคัญที่เปิดให้กองทัพเดินเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยการ
สนับสนุนจากรัฐมหาอำนาจภายนอก แต่เมื่อมีการปรับทิศทางของนโยบายที่รัฐ
มหาอำนาจให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล
ทหาร (ในยุคหลังสงครามเวียดนาม) รัฐบาลทหารก็เริ่มเผชิญกับความท้าทายที่
การละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหารกลายเป็นปัญหา ปฏิบัติการเช่นนี้รู้จักกันในชื่อ
ของ “สงครามสกปรก” (Dirty War) ในละตินอเมริกา ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในกรณี
นี้ที่ทำให้รัฐบาลทหารตกเป็นเป้าของการวิจารณ์และการต่อต้านอย่างมาก
และความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “ระยะเปลี่ยนผ่านสู่
ประชาธิปไตย” ขึ้นในภูมิภาคต่างๆ และขณะเดียวกันก็บ่งบอกถึงการถดถอย
ของกองทัพในเวทีโลก 42
นอกจากนี้ในยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์ ที่มาพร้อมกับโลกาภิวัตน์
และการพัดแรงของกระแสประชาธิปไตย ทำให้ระบอบอำนาจนิยมดำรงตน
2 อยู่ในกระแสโลกได้อย่างยากลำบากยิ่ง การล้มลงของระบอบทหาร พร้อมๆ กับ
การเปลี่ยนผ่านของระบอบสังคมนิยมในหลายประเทศ ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอก
ถึงการก้าวสู่ประชาธิปไตย ดังเช่นการสิ้นสุดของระบอบทหารในยุโรปใต้
ละตินอเมริกา และเอเชีย ตลอดรวมถึงการยุติของระบอบพรรคเดียวในยุโรป
ตะวันออกและสหภาพโซเวียต ซึ่งก็คือสัญญาณของการก้าวสู่ระบอบ
ประชาธิปไตยของโลกอีกครั้ง หรือที่เรียกในทางทฤษฎีว่า “คลื่นประชาธิปไตย
ลูกที่สาม” ซึ่งพัดไปทั่วทุกมุมโลกหลังสงครามเย็น
ปรากฏการณ์เช่นนี้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนถึงการขับเคลื่อนของกระแส
ประชาธิปไตยในยุคโลกาภิวัตน์ ที่รัฐมหาอำนาจล้วนแต่ให้ความสนับสนุนต่อการ
สร้างประชาธิปไตยมากกว่าจะให้ความสำคัญกับรัฐทหารเช่นในยุคสงครามเย็น
จนอาจกล่าวได้ว่า ภารกิจทางประวัติศาสตร์ของระบอบทหารในฐานะของการเป็น
เครื่องมือสำคัญเพื่อการต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นได้สิ้นสุด
ลงแล้ว และขณะเดียวกัน ระบอบประชาธิปไตยยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของการ
42 ดูผลกระทบจากปัจจัยด้านสิทธิมนุษยชนได้ใน Larry Diamond and Marc F. Plattner
(eds.), Civil-Military Relations and Democracy.
สถาบันพระปกเกล้า