Page 99 - kpi16607
P. 99
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
หลังจากรัฐประหาร 2549 ก็เห็นการกำเนิดของแนวร่วมประชาธิปไตย
ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และดำเนินการต่อเนื่องเรื่อยมา อีกทั้งยัง
ปรากฏรูปแบบใหม่ๆ ของการต่อต้านทหาร เช่น การจัดกิจกรรมของ บก.ลายจุด
ตลอดรวมถึงการเปิดแนวรบในสื่อสังคมหรือในพื้นที่ของสื่อใหม่ และในยุคหลัง
จากการยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ก็เห็นได้ถึงปรากฏการณ์ใหม่ๆ
แม้รัฐบาลทหารจะใช้วิธีเรียกบุคคลเป้าหมายให้เข้ารายงานตัว แต่ดูเหมือนสนาม
การต่อสู้ในสื่อสังคมดูจะดำเนินไปอย่างเข้มข้น... รัฐบาลทหารถูกทำให้กลายเป็น
“ตัวตลก” ทางการเมือง ในขณะเดียวกันผู้นำทหารก็ถูกฝ่ายต่อต้านนำมา
“ล้อเลียน” ทางการเมืองอย่างขบขัน จนกลายเป็นภาพสะท้อนที่ค่อนข้างชัดเจนว่า
ผู้คนในปัจจุบันไม่ได้เกรงกลัวรัฐประหารหรือรัฐบาลทหารมากเหมือนในอดีต
(ไม่ใช่ไม่กลัว แต่ไม่มากแบบที่ผู้นำทหารคิด) ยุคของความกลัวการยึดอำนาจ
กำลังจะผ่านไป และขณะเดียวกัน อำนาจของผู้นำทหารในทางการเมืองก็มีความ
จำกัด พวกเขาไม่สามารถใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จได้ แม้จะมีมาตรา 44 รองรับ
เช่นมาตรา 17 ของยุคจอมพลสฤษดิ์ และขณะเดียวกันด้วยเงื่อนไขทางการเมือง
แบบยุคปัจจุบัน รัฐบาลทหารก็ไม่สามารถใช้อำนาจได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ
1
จนอาจต้องกล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่า รัฐบาลทหารกรุงเทพฯ มีอำนาจแบบ
“ครึ่งๆ กลางๆ” และไม่อยู่ในฐานะที่จะใช้อำนาจนั้นได้อย่างเต็มรูปแต่อย่างใด
สมมติฐานที่ 2 รัฐมหาอำนาจสนับสนุนรัฐประหาร
ผลของการต่อสู้ทางการเมืองและอุดมการณ์ในยุคสงครามเย็น หรือ
การดำเนินสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ทำให้รัฐมหาอำนาจใหญ่จำเป็นต้อง
สนับสนุนรัฐบาลทหารในประเทศโลกที่สาม พวกเขามักจะเชื่อว่ารัฐบาลทหารมี
ความเข้มแข็งในการต่อสู้มากกว่ารัฐบาลพลเรือน อีกทั้งมองว่าการเลือกตั้งอาจ
กลายเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้คอมมิวนิสต์แทรกแซงการเมืองได้ง่าย
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ มหาอำนาจตะวันตกจึงมักจะเป็นผู้สนับสนุนรัฐประหาร
ด้วยเหตุผลของการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์...โลกของสงครามเย็นจึงเป็นยุคที่ต้องใช้
รัฐบาลทหารเป็นเครื่องค้ำประกันความมั่นคงของรัฐ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กองทัพ
คือฐานรองรับของแนวคิดเรื่อง “ความมั่นคงแห่งชาติ” (National Security) และ
เป็นเครื่องมือหลักที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์
สถาบันพระปกเกล้า