Page 91 - kpi16607
P. 91
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
กล่าวถึงปัจจัย “โลกาภิวัตน์” เพราะปัจจัยเช่นนี้ก็ไม่เคยหยุดยั้งการรัฐประหาร
ในยุคหลังสงครามเย็นที่กรุงเทพฯ ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจในเดือน
กุมภาพันธ์ 2534 หรือในเดือนกันยายน 2549 ก็ตาม หรือในอีกด้านหนึ่งปัจจัย
โลกาภิวัตน์เป็นเพียง “ผลกระทบในเชิงนามธรรม” ที่อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของ
ประเทศดูไม่ดีในสายตาภายนอก เพราะการมีรัฐประหารและมีรัฐบาลทหาร
ปกครอง แต่ไม่ใช่จะกลายเป็นแรงกดดันโดยตรงในลักษณะของการ “บังคับ”
กล่าวคือรัฐบาลทหารไทยยังไม่เคยอยู่ในสภาพที่ถูก “บีบบังคับ” จากมหาอำนาจ
ภายนอกให้ต้องลงจากอำนาจ และคืนประชาธิปไตยให้แก่สังคม ดังเช่นแรงกดดัน
จากภายนอกที่มีต่อกองทัพเมียนมาหลังจากการรัฐประหาร 2531 หรือแรงกดดัน
ที่มีต่อรัฐบาลทหารของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในอินโดนีเซียหลังจากประเทศ
ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2544 (อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ไทย) ด้วยสภาพปัญหาเช่นนี้ผู้นำทหารไทยจึงมองว่าแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก
อาจจะมี แต่ก็จะไม่รุนแรง แล้วในที่สุดรัฐบาลตะวันตกก็จะหันมา “ยอมรับ”
รัฐบาลทหารที่กรุงเทพฯ เหมือนเช่นยุคสงครามเย็นในอดีต... รัฐบาลทหารไทย
ไม่เคยมีอดีตที่ “ขมขื่น” จากการถูกกดดันอย่างจริงจังจากตะวันตก มีแต่อดีตที่ 3
“หวานชื่น” ในการมีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นในยุคสงครามเย็น เป็นต้น เช่นนี้แล้ว
นักรัฐประหารไทยจึงไม่เคยต้องกังวลกับอิทธิพลและการแทรกแซงจากปัจจัย
ภายนอกแต่อย่างใด
ส่วนปัจจัยภายในก็ใช่ว่าจะเป็นประเด็นที่ผู้นำทหารควรจะต้องกังวล
ด้วยการข่าวกรองที่ดี ทำให้ในระยะต้นหลังการรัฐประหารแล้ว รัฐบาลทหาร
กวาดจับฝ่ายต่อต้านที่ถูกเฝ้าตรวจและเชื่อว่าอาจจะเป็น “กลุ่มติดอาวุธ”
ที่สามารถทำให้การต่อต้านรัฐประหารกลายเป็น “ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ”
(armed conflict) และอาจนำไปสู่เงื่อนไขของการเกิด “สงครามกลางเมือง” ได้
ดังนั้น เมื่อผู้นำทหารสามารถใช้กลไกการข่าวในการควบคุมสถานการณ์ได้จริง
แล้ว การต่อต้านที่เหลืออยู่ก็ใช้วิธีการ “ป้องปราม” ด้วยการเรียกบุคคลในฝ่าย
ต่างๆ ให้เข้ารายงานตัวกับกองทัพ และในช่วงต้น นักการเมืองหลายๆ รายต้อง
ถูก “ปรับทัศนคติ” ซึ่งก็ดูจะเป็นเสมือนกับการส่งเข้า “ค่ายศึกษา” เพื่อปรับ
โลกทัศน์ในแบบสังคมนิยม ตลอดรวมถึงการเรียกให้เข้าร่วมใน “ศูนย์ปรองดอง”
สถาบันพระปกเกล้า