Page 90 - kpi16607
P. 90
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
เป็นการก่อการของผู้นำทหารระดับกลาง และผู้นำกองทัพเองก็ยืนยันสนับสนุน
รัฐบาล มากกว่าจะยืนตรงข้ามกับรัฐบาล เพราะหากผู้นำกองทัพตัดสินใจเข้าร่วม
การรัฐประหารครั้งนั้นแล้ว ผลลัพธ์ก็อาจจะแตกต่างออกไป ดังนั้นเงื่อนไขจะ
เปลี่ยนแปลงไปก็ต่อเมื่อผู้นำกองทัพยอมรับว่ารัฐบาลพลเรือนเป็น “องค์อธิปัตย์”
และกองทัพเป็น “เครื่องมือ” ในนโยบายของรัฐ ตราบที่การยอมรับหลักการเช่นนี้
ยังไม่เกิด โอกาสของการเกิดรัฐประหารก็จะยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอในการเมือง
ไทย
แม้รัฐประหารจะประสบความสำเร็จ และไม่มีแรงต้านอย่างรุนแรงดังเช่น
ที่เคยประมาณการไว้ กล่าวคือ ผู้นำกองทัพเชื่อว่า ทหารสามารถควบคุม
สถานการณ์หลังการยึดอำนาจได้ แรงต้านที่เคยมีความกลัวว่าจะนำไปสู่สภาพของ
“สงครามกลางเมือง” ก็จะไม่เกิด การใช้กลไกด้านข่าวกรองทำให้ทหารมั่นใจว่าจะ
สามารถควบคุมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้จริง แต่สิ่งที่ผู้นำทหารประเมินไม่ได้
ก็คือ แรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศจะมีมากน้อยเพียงใด และแรง
2 ต่อต้านจากประชาชนโดยทั่วไปภายในประเทศจะเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม
ผู้นำรัฐประหารเชื่อว่า แรงกดดันจากภายนอกน่าจะไม่มาก เพราะประเทศ
มหาอำนาจยังจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยไว้แม้จะเป็นรัฐบาล
ทหารก็ตาม อันเป็นผลจากสถานะของภูมิรัฐศาสตร์และความสำคัญทาง
ยุทธศาสตร์ของไทยในเวทีการต่อสู้ของการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน และ
พวกเขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าโอกาสจะถูก “แซงชั่น” เช่นในกรณีการรัฐประหาร
ในเมียนมาน่าจะไม่เกิดกับไทย เพราะที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่เคยเกิดสภาพเช่นนั้น
อีกทั้งรัฐมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังจำเป็นต้องรักษาความ
สัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับไทยไว้ เพราะการขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นำทหารไทยก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องกลัวกับแรงกดดันจาก
ภายนอก อย่างน้อยก็พอจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยกังวลกับการถูกแซงชั่นจาก
ประชาคมระหว่างประเทศแต่อย่างใด พวกเขามั่นใจเสมอว่า รัฐบาลตะวันตก
จะแสดงออกในทางวาจา แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เพียงระยะเวลาผ่านไปสักพัก
ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะในความเป็นจริง รัฐบาลประชาธิปไตย
ตะวันตกก็ไม่เคย “เอาจริง” กับปัญหาการรัฐประหารแต่อย่างใด จนทำให้ผู้นำ
ทหารไทยต้องกลัวอิทธิพลของปัจจัยภายนอกแต่อย่างใด และยิ่งไม่จำเป็นต้อง
สถาบันพระปกเกล้า