Page 83 - kpi16607
P. 83
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
กับกลุ่มตรงข้ามทางการเมือง เป็นต้น การใช้อำนาจเช่นนี้ถูกมองว่าสถาบัน
ตุลาการมีลักษณะเป็น “สองมาตรฐาน” ในการตัดสินปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
การใช้อำนาจของสถาบันตุลาการในการต่อสู้เช่นนี้ ทำให้ชนชั้นนำและกลุ่ม
อนุรักษ์นิยมไม่จำเป็นต้องอาศัยการรัฐประหารเป็นเครื่องมือในการล้มรัฐบาล
ที่พวกเขาไม่ต้องการ และขณะเดียวกันก็ทำให้ไม่ถูกจับตามองว่าผู้นำทหารเข้ามา
แทรกแซงการเมืองอีก อันส่งผลให้ภาพลักษณ์ของการล้มรัฐบาลดังกล่าวไม่มี
ความรุนแรงมากเท่ากับการยึดอำนาจด้วยการเคลื่อนกำลังรถถัง หากแต่เป็นการ
ล้มรัฐบาลด้วย “อำนาจตุลาการ” และการใช้เครื่องมือนี้ดูจะประสบความสำเร็จ
อย่างมาก อย่างน้อยก็ทำให้ไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐภายนอกที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้
กำลังทหารในการแก้ปัญหาทางการเมือง อีกทั้งการล้มรัฐบาลเช่นนี้ก็เปิดโอกาสให้
ผู้นำทหารสามารถใช้พลังอำนาจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง จนกลาย
เป็นการ “จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” เพื่อให้พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม
อนุรักษ์นิยมได้เข้าสู่อำนาจในการเป็นผู้บริหารประเทศ ว่าที่จริงปรากฏการณ์
เช่นนี้ก็คือ “รัฐประหารเงียบ” ในการเมืองไทยในปี พ.ศ. 2551 ที่ส่งผลให้พรรค
ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล สภาพเช่นนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าพรรคการเมืองที่ได้รับ
ความสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมนั้นไม่สามารถต่อสู้จนชนะในการเลือกตั้งได้
พรรคการเมืองในสายอนุรักษ์นิยมจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจทหารด้วยการทำ
รัฐประหารเงียบ จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้จริง
เมื่อการเลือกตั้งหวนคืน
อย่างไรก็ตามในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
พรรคประชาธิปัตย์ของกลุ่มอนุรักษ์นิยมแพ้การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยชนะและ
จัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ประเทศไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2554 ก็ประสบปัญหา
ภัยพิบัติทางธรรมชาติขนาดใหญ่ รัฐบาลพลเรือนจำเป็นต้องพึ่งพาความสนับสนุน
จากกองทัพในการช่วยเหลือประชาชนใน “วิกฤตมหาอุทกภัย” ต้องยอมรับว่า
ผู้นำทหารได้ให้ความสนับสนุนทั้งทางด้านกำลังพลและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี
และดูจะเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกของการพัฒนาความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร
ท่ามกลางกระแสน้ำท่วมครั้งใหญ่ ดังจะเห็นได้จากภาพของการออกตรวจพื้นที่
สถาบันพระปกเกล้า