Page 78 - kpi16607
P. 78
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ชินวัตร ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่พรรคได้จำนวนสมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งเกินกว่า
ครึ่ง (ได้ ส.ส. เขต 208 ที่นั่งจากจำนวนรวม 400 ที่นั่ง) และรัฐบาลได้คะแนน
นิยมอย่างมากในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจาก “นโยบายใหม่”
ที่ถูกเรียกในปัจจุบันว่าเป็น “นโยบายประชานิยม” ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้
ของเกษตรกรรายย่อย โครงการประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค
ตลอดรวมถึงกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
การได้รับเสียงสนับสนุนอย่างมากสำหรับรัฐบาลทักษิณกลายเป็นปัญหา
ในตัวเอง เพราะได้ทำให้แนวคิดเรื่อง “ฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง” เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งแต่
เดิมนั้นรัฐบาลไทยมักจะอยู่ในรูปของ “รัฐบาลผสม” และด้วยสภาพเช่นนี้รัฐบาล
จึงอ่อนแอ ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้อย่างแท้จริง หากแต่ผู้นำรัฐบาลต้อง
อาศัยการประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง
และทำให้รัฐบาลอยู่รอดได้ ฉะนั้น ความแข็งแกร่งทางการเมืองในระบบรัฐสภา
0 ที่รัฐบาลมีเสียงอย่างท่วมท้นในสภา เริ่มกลายเป็นความกังวลแก่บรรดาชนชั้นนำ
และผู้นำในสายอนุรักษ์นิยม พวกเขาเริ่มเกรงว่าอำนาจในการควบคุมระบบ
การเมืองในแบบเดิมที่พวกเขามีจะเริ่มอ่อนแรงลง ประกอบกับการดำเนินนโยบาย
ที่ให้ความสำคัญกับชนบท ทำให้พรรคไทยรักไทยมีความเข้มแข็งด้วยการ
สนับสนุนจากคนในชนบทอย่างมาก ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
มีความพยายามอย่างมากในการจัดตั้งประชาชนในชนบทเพื่อให้เข้าร่วมการต่อสู้
กับพรรค แต่หากประเมินในความเป็นจริงแล้วจะพบว่า พคท. ไม่ได้ประสบความ
สำเร็จมากนัก แต่ในครั้งนี้ พรรคไทยรักไทยกลับกุม “หัวใจ” ของคนชนบทได้
อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ที่สำคัญก็คือพรรคไทยรักไทยกุมเสียงข้างมากในสภา
สัญญาณของอาการ “รับไม่ได้” ของชนชั้นนำและผู้นำในสายอนุรักษ์นิยม
เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. 2548 เช่น รายชื่อของการแต่งตั้ง
โยกย้ายทหารถูกส่งกลับคืนมาให้รัฐบาลเปลี่ยนรายชื่อผู้บัญชาการทหารอากาศ
ในเดือนสิงหาคม และขณะเดียวกันก็ได้มีการออกหนังสือ “พระราชอำนาจ”
ในเดือนกันยายน เพื่อตอกย้ำถึงอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง และ
สถาบันพระปกเกล้า