Page 73 - kpi16607
P. 73
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
เปลี่ยนผ่าน แต่ไม่ปฏิรูป
ปรากฏการณ์เช่นนี้ดูจะแตกต่างจากระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันกับในละตินอเมริกาในช่วงทศวรรษ 2523
ซึ่งการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นทำให้บทบาทของกองทัพในเวทีการเมืองของประเทศ
ลดลงอย่างมาก หรืออย่างน้อยก็เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้นำทหารไม่สามารถมีบทบาท
18
ทางการเมืองได้เช่นก่อนหน้าระยะเปลี่ยนผ่าน ตลอดรวมถึงหลังจากการเปลี่ยนผ่าน
ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้มีกระบวนการ “ปฏิรูปภาคความมั่นคง” (Security Sectors
Reform หรือ SSR) เกิดขึ้น และหนึ่งในองค์กรที่ถูกปฏิรูปคู่ขนานกับการเปลี่ยนผ่าน
ที่เกิดขึ้นก็คือ “กองทัพ” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเกิดกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย
กับกองทัพ ซึ่งในมุมหนึ่งของกระบวนการนี้ก็คือ “การทำให้เป็นทหารอาชีพ”
19
(professionalization) ด้วยการยอมรับความเป็นองค์อธิปัตย์ของรัฐบาลที่มาจาก
การเลือกตั้ง พร้อมๆ กับยอมรับการเป็น “เครื่องมือ” ในนโยบายของรัฐบาล
พลเรือน และยุติฐานะของการเป็น “คู่ขัดแย้ง” กับรัฐบาลพลเรือนในเวทีการเมือง
ด้วยการดำรงสถานะเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” (The state within the state)
แต่ที่สำคัญที่สุดในกรณีของไทยก็คือ หลังจากระยะเปลี่ยนผ่านทาง
การเมืองเกิดขึ้นแล้ว กองทัพไม่เคยถูก “แตะต้อง” ทั้งในทางการเมืองหรือในทาง
กฎหมายเลย หรือแม้การปฏิรูปทางทหารในบริบทของการสร้างความเป็น
สมัยใหม่ของกองทัพ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นแต่ประการใด เว้นแต่การนำเข้ายุทโธปกรณ์
สมัยใหม่ในรูปแบบต่างๆ ในกองทัพ หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ ไม่ว่าสังคมการเมือง
จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรก็ตาม กองทัพไม่เคยถูกกระทบโดยตรงจากความ
เปลี่ยนแปลงนั้น กองทัพสามารถดำรง “สถานะเดิม” (status quo) ทั้งทาง
การเมืองและสังคมไว้ได้โดยแทบไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิด
เป็นบริบทของสภาพแวดล้อมภายนอกขององค์กรทหารแต่อย่างใด อย่างน้อยจะ
18 ดูบทบาททหารในระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในละตินอเมริกาได้ใน Alfred C. Stepan,
Rethinking Military Politics: Brazil and the Southern Cone (Princeton: Princeton
University Press, 1988).
19 Larry Diamond and Marc F. Plattner (eds.), Civil-Military Relations and
Democracy (Baltimore: The Johns Hopkins University Press, 1996).
สถาบันพระปกเกล้า