Page 68 - kpi16607
P. 68
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
มาจากคณะราษฎรก็ตาม ซึ่งก็ส่งผลให้รัฐบาลขณะนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นอำนาจ
นิยมมากกว่าจะเป็นเสรีนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกของจอมพล ป.
12
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ชัยชนะในสงครามอินโดจีนในช่วงต้นปี พ.ศ. 2484 (ก่อนที่
ราชนาวีญี่ปุ่นจะเปิดการโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ ที่ฮาวายในช่วงปลายปี) แต่ก็
โชคดีว่ารัฐบาลชุดนี้ถูกย้ายออกจากเวทีการเมืองก่อนที่สงครามโลกจะยุติลง ซึ่งก็
ช่วยให้ความเป็นพันธมิตรอย่างแนบแน่นระหว่างไทยกับญี่ปุ่นลดความสำคัญลง
ก่อนที่สงครามจะจบ ผลจากสภาพเช่นนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ว่า “ญี่ปุ่นแพ้...
ไทยไม่แพ้” และประเทศไทยก็ไม่ได้ถูกปฏิบัติเช่นประเทศผู้แพ้สงครามดังกรณี
ของเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ผลที่ตามมาอย่างมีนัยสำคัญในกรณีนี้ก็คือ
กองทัพไทยไม่ได้ถูกปลดอาวุธหรือยุบกองทัพ ดังเช่นกองทัพของประเทศผู้แพ้
สงคราม และสำคัญที่สุดก็คือ ประเทศไทยไม่ถูกยึดครอง หรือถูกจัดการปกครอง
ใหม่เช่นกรณีของญี่ปุ่นและเยอรมนี... สหรัฐอเมริกาถือว่าไทยเป็นดินแดนที่อยู่
ภายใต้การยึดครอง อันส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้เข้ามา “ปรับรื้อ” โครงสร้าง
ทางการเมืองของประเทศและของกองทัพแต่อย่างใด กองทัพไทยผ่านพ้นจาก
0 การถูก “ปรับ” ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ !
สภาพเช่นนี้ทำให้กองทัพไทยยังดำรงฐานะทางการเมืองไว้ได้ในแบบเดิม
กองทัพไม่ถูกแตะต้องจากผลของการสิ้นสุดของสงครามแต่อย่างใด ประเด็นนี้ดูจะ
กลายเป็นดังเรื่อง “เหลือเชื่อ” ในทางการเมือง เพราะในอีกมุมหนึ่งเราจะเห็นได้
ชัดเจนถึงสถานะใหม่ของกองทัพญี่ปุ่นหรือกองทัพเยอรมนีก็ตาม เช่นเดียวกับ
การเมืองญี่ปุ่นและการเมืองเยอรมนีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง กระบวนการ
ก้าวสู่ประชาธิปไตย (Democratization) เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ในขณะที่
การเมืองไทยกลับยืนอยู่ที่เดิม สงครามไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการ
เมืองในไทย แม้ไทยจะเป็น “พันธมิตรใกล้ชิด” กับญี่ปุ่นในช่วงสงครามก็ตาม
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สงครามโลกไม่ได้มีผลที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทาง
การเมืองขนาดใหญ่เช่นที่เกิดกับประเทศที่เข้าสู่สงครามอื่นๆ แต่อย่างใด...
การเมืองไทยและกองทัพดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
12 สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐ สมัยจอมพล ป.
พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ. 2491-2500) พิมพ์ครั้งที่ 2. (กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก, 2550).
สถาบันพระปกเกล้า