Page 65 - kpi16607
P. 65
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ให้ถือเอาแนวคิดแบบ “ราชานิยม” และ “เสนานิยม” เป็นแกนกลางของ
อุดมการณ์ทหารแล้ว พวกเขายังถูกสร้างให้มีความคิด “ชาตินิยม” ด้วย จนอาจ
กล่าวได้ว่านายทหารในกองทัพสมัยใหม่ของสยามถูกหล่อหลอมด้วยชุดความคิด
แบบองค์สามคือ “ราชานิยม-เสนานิยม-ชาตินิยม” และขณะเดียวกันกองทัพเช่นนี้
ก็ถูกสร้างให้เป็นฐานรองรับของระบบการป้องกันระบอบการเมืองแบบเก่า
ในขณะนั้น อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของการปราบปรามการก่อกบฏของ
ภัยคุกคามจากภายใน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ จัดการกับผู้ที่คิดจะล้มล้างระบอบ
การปกครองของรัฐ กล่าวในบริบททางการเมืองก็คือ กองทัพถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อทำ
หน้าที่ในการปกป้องรัฐจากภัยคุกคาม ซึ่งโดยนัยทางทฤษฎีแล้วหมายถึงภัยจาก
ภายนอก แต่เมื่อภัยจากภายนอกไม่มีความเป็นรูปธรรมแล้ว บทบาทของทหาร
กลับถูกสร้างให้ทำหน้าที่จัดการกับภัยคุกคามภายในแทน และภัยเช่นนี้มักจะเป็น
เรื่องของผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ในสภาพเช่นนี้การปกป้องรัฐจึงถูกขยาย
บริบทให้ครอบคลุมกับมิติภายในมากขึ้นคือ กองทัพทำหน้าที่ในการปราบกบฏ
ซึ่งก็คือกองทัพมีภารกิจในการจัดการกับภัยคุกคามภายใน
กองทัพกับกระแสประชาธิปไตยลูกที่ 1
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาได้เกิดกลุ่ม “ทหารหนุ่ม” ที่คิดว่าระบอบ
การปกครองเดิมไม่สามารถรองรับต่อการนำพาประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ได้
พวกเขามองเห็นความสำเร็จจาก “การปฏิวัติเมจิ” (The Meiji Restoration) เป็น
ทิศทางหลัก พร้อมกับมีชัยชนะของราชนาวีญี่ปุ่นต่อกองทัพเรือรัสเซียในปี พ.ศ.
2448 (ค.ศ. 1905) เป็นแรงกระตุ้น ขณะเดียวกันแรงผลักดันอีกส่วนมาจาก
การเคลื่อนไหวของ ดร. ซุนยัตเซ็น เพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีน
นายทหารหนุ่มหัวก้าวหน้าเหล่านี้เริ่มรวมตัวกันในปี พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909)
และเริ่มจัดตั้งขยายผล เพื่อหวังจะก่อให้เกิดขบวนการทางการเมืองใหม่ แต่ใน
เวลาต่อมาเมื่อมีข่าวถึงการรวมกลุ่มของคณะนายทหารเช่นนี้ กลุ่มได้ถูกแทรกแซง
จาก “สายลับ” ของรัฐบาล ความริเริ่มของพวกเขาจบลงด้วนการถูกกวาดล้าง
จับกุมในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “กบฏ ร.ศ.
สถาบันพระปกเกล้า