Page 58 - kpi16607
P. 58
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
นายทุนเท่านั้น ต้องยอมรับว่าหลังจากการนำเสนอแนวคิดสังคมนิยมออกสู่เวที
สาธารณะแล้ว การต่อสู้ทางแนวคิดระหว่าง “ทุนนิยม” และ “สังคมนิยม”
ก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่แนวคิดสังคมนิยมก็ยังดำรงอยู่เพียงทางทฤษฎี เพราะ
ไม่มีตัวแบบของรัฐจริงรองรับระบอบการปกครองดังกล่าว จนกระทั่งในที่สุด ลัทธิ
สังคมนิยมก็ขึ้นสู่อำนาจได้จากการปฏิวัติรัสเซียในปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917)
แต่แรงต้านลัทธิสังคมนิยมกลับปะทุขึ้นในอีกด้านหนึ่งของยุโรปในรูปแบบ
ของ “ลัทธิฟาสซิสต์” (Fascism) ที่เกิดขึ้นทั้งในเยอรมนีและอิตาลี ลัทธินี้มองเห็น
ว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความอ่อนแอ และอาจพ่ายแพ้ในการต่อสู้ทางการ
เมืองที่เกิดขึ้นได้ บรรดาชนชั้นสูงและพวกฝ่ายขวาที่มีความกลัวพวกฝ่ายซ้าย
ปฏิเสธประชาธิปไตยและหันไปสนับสนุนลัทธิฟาสซิสต์แทน ปรากฏการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นทั้งในยุโรป ในละตินอเมริกา และแม้กระทั่งในเอเชีย อันนำไปสู่การขึ้นสู่
อำนาจของพวกนาซีและฟาสซิสต์ในช่วงทศวรรษที่ 3 ในเยอรมนี อิตาลี และ
ญี่ปุ่น แต่แล้วการพ่ายแพ้สงครามของพวกนาซีและฟาสซิสต์ มีผลทำให้แนวความ
0 คิดต่อต้านประชาธิปไตยได้ถูกทำลายลงด้วยอำนาจทางทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร
การยึดครองของประเทศผู้ชนะสงครามจึงก่อให้เกิดกระบวนการของ “การบังคับ”
ให้เป็นประชาธิปไตยโดยใช้มาตรการทางการเมืองและการทหาร
กรณีดังกล่าวจึงชี้ให้เห็นว่าบทบาทของปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในการบีบบังคับให้เยอรมนีและญี่ปุ่นได้กลับเข้าสู่การ
พัฒนาประชาธิปไตยอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็น
ผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยตรง แต่ผลที่เกิดขึ้นก็มีส่วนอย่าง
มากที่ทำให้ประชาธิปไตยได้กลับมาเป็นกระแสการเมืองหลักอีกครั้ง หรืออาจ
กล่าวได้ว่า การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงของคลื่นประชาธิปไตยลูก
ที่ 2 แต่ก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่คลื่นลูกนี้เกิดขึ้นในกระแสการเมืองโลกของ
ยุคสงครามเย็น ที่มีทิศทางไม่สนับสนุนการเติบโตของประชาธิปไตยแต่อย่างใด
และในท้ายที่สุดสงครามเย็นก็สิ้นสุดลง
สถาบันพระปกเกล้า