Page 57 - kpi16607
P. 57
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ในช่วงนี้จึงมีนัยหมายถึง แนวความคิดทางการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับพวกที่
สนับสนุนการปกครองในระบอบขุนนาง (ตลอดจนแนวความคิดทางการเมือง
ที่สนับสนุนการปกครองแบบอนุรักษ์นิยม) หรืออยู่ตรงข้ามกับ “ระบอบโบราณ”
แบบดั้งเดิม (The Ancient Regime)
ในกระแสประชาธิปไตยลูกแรกนี้ กลุ่มพลังทางสังคมที่มีบทบาทอย่างมาก
ในฐานะของการเป็นพลังผลักดันจึงได้แก่กลุ่มชนชั้นกลาง (หรือหมายถึงบรรดา
เสรีชนที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยุโรป) ซึ่งกลุ่มทางสังคมเหล่านี้ในเวลาต่อมา
ก็คือชนชั้นนายทุนที่เกิดขึ้นในสังคมยุโรปนั่นเอง โดยกลุ่มชนเหล่านี้มีความมั่งคั่ง
ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการค้าและพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา
(Money Economy) ความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจเช่นนี้จึงมีผลโดยตรง
ที่ทำให้ชนชั้นนายทุนมีฐานะทางเศรษฐกิจเหนือชนชั้นขุนนาง และที่สำคัญก็คือ
ชนชั้นนายทุนยังกำเนิดขึ้นพร้อมกับแนวคิดทางการเมืองใหม่ที่เรียกร้องหา
“เสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ” ตลอดจนปฏิเสธการปกครองแบบเก่าของ
บรรดาเจ้าที่ดินและขุนนางในระบบศักดินาเดิม 4
การปฏิวัติประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในยุคใหม่ ซึ่งเริ่มในยุโรปตั้งแต่ปลาย
ศตวรรษที่ 18 นั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรดาชนชั้นกลางหรือชนชั้นนายทุนได้เป็น
พลังหลักในการผลักดันให้เกิดการวางรากฐานของประชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งได้
นำไปสู่การขยายตัวของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองในช่วงต่อมา
ของศตวรรษที่ 19 และจากบทบาทเช่นนี้ดังที่ปรากฏในอังกฤษและในอเมริกา
จึงทำให้มีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า “หากไม่มีชนชั้นนายทุน ก็ไม่มีประชาธิปไตย”
คำกล่าวเช่นนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อพัฒนาการของการสร้างประชาธิปไตยในยุค
ต่อมาที่ไม่ได้จำกัดเส้นเขตแดนเพียงแต่ยุโรปตะวันตกเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20
อันเป็นกระแสการเมืองที่ปฏิเสธแนวคิดเรื่องประชาธิปไตย
คลื่นประชาธิปไตยลูกที่สอง
การกำเนิดของแนวคิดสังคมนิยมแบบลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ที่มองเห็น
ว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์และกรรมสิทธิ์ของชนชั้น
สถาบันพระปกเกล้า