Page 54 - kpi16607
P. 54
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ฉะนั้น หากกำหนดเส้นแบ่งเวลาในยุคหลังสงครามเย็นที่เริ่มในปลายปี
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) และต่อต้นปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) จึงไม่ใช่เรื่อง
แปลกแต่อย่างใดที่จะพบว่า เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.
ชาติชาย ชุณหะวัณ ปัญหาจบลงด้วยการยึดอำนาจในตอนต้นปี พ.ศ. 2534
(ค.ศ. 1991) และในสมัย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เรื่องก็จบลงด้วยรัฐประหาร
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกครั้งในสมัยรัฐบาล
น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่องก็จบลงด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 (ค.ศ.
2014) ไม่แตกต่างกัน... โลกของสังคมการเมืองไทยไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใหม่
เพียงใดกับกระแสโลกาภิวัตน์ แต่รัฐประหารหรือสัญญะของ “การเมืองเก่า” ยัง
ไม่ตายไปจากการเมืองไทยแต่อย่างใด หลังสงครามเย็นซึ่ง “กระแสโลกาภิวัตน์”
พัดแรง กลับพบว่าการเมืองไทยต้องเผชิญกับรัฐประหารถึง 3 ครั้งแล้ว
ทำไมสังคมการเมืองไทยจึงยังอยู่กับ “วังวน” ที่ไม่รู้จบจากการแทรกแซง
3
ของกองทัพ และกองทัพจะเป็น “อมตะ” ที่ไม่มีวันตายในการเมืองไทยไปอีกนาน
4 เท่าใด ปัญหานี้เป็นประเด็นสำคัญกับอนาคตของการเมืองไทยอย่างยิ่ง เพราะถ้า
การเมืองไทย “ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” และต้องจมปลักกับการแทรกแซง
ของทหารอย่างไม่มีวันจบสิ้นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เราไม่ควรจะต้อง
เรียนวิชารัฐศาสตร์แต่อย่างใด เพราะการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือน
ที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นเพียง “สภาวะชั่วคราว” ที่ไม่ควรต้องเสียเวลาและ
ใส่ใจอีกต่อไป ซึ่งก็คงจะต้องตามมาด้วยการยุบคณะรัฐศาสตร์ทิ้งให้หมดไปด้วย
เพราะการเรียนเรื่องประชาธิปไตยกลายเป็น “ความไร้สาระ” ทางการเมือง และ
ทั้งยังเสียงบประมาณในการจัดการเรียนการสอนอีกด้วย
แต่ความเป็นจริงของโลกก็ไม่ได้เอื้ออาทรต่อบทบาทของทหารกับการเมือง
และ/หรือกับระบอบอำนาจนิยมในลักษณะเช่นนั้น หากพิจารณาดูจากภาพรวม
ในลักษณะมหภาคแล้ว เรากลับพบว่า กองทัพในเวทีโลกกลับอยู่ในสภาพของ
3
ดูงานของผู้เขียน สุรชาติ บำรุงสุข, ทหารกับประชาธิปไตยไทย: จาก 14 ตุลาสู่ปัจจุบัน
และอนาคต
(กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกริก, 2541) ; ทหารกับการเมืองไทยในศตวรรษหน้า:
พัฒนาการและความเปลี่ยนแปลง (กรุงเทพฯ: สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ, 2543)
; เสนาธิปไตย: รัฐประหารกับการเมืองไทย (กรุงเทพฯ: มติชน, 2558)
สถาบันพระปกเกล้า