Page 20 - kpi16607
P. 20
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ประเด็นเรื่องขอบเขตของพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบ
การปกครองใหม่ที่จำกัดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ (Limited Monarchy:
ปรมิตตาญาสิทธิราชย์) จึงยังไม่มีความลงตัวชัดเจนแน่นอนอย่างที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบัน ซึ่งเดนมาร์คต้องรอเวลาให้สถาบันทางการเมืองอื่นๆ และประชาชน
ในระบอบการปกครองใหม่นี้ได้พัฒนา และพัฒนาการของสังคมโดยรวมนี้เองที่จะ
ร่วมกันกำหนดทิศทางและขอบเขตที่เหมาะสมของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบัน
การเมืองอื่นๆ และประชาชนกับการใช้พระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์
ในที่สุด
ดังนั้น ถ้าพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของไทยภาย
ใต้กรอบความคิด “unilinear” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย พ.ศ. 2475
และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของเดนมาร์ค ค.ศ. 1849 ย่อมเข้า
ข่ายการเปลี่ยนแปลงในเชิงพัฒนาการความก้าวหน้า นั่นคือ การสิ้นสุดของ
ระบอบโบราณอย่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบ
12 “ประชาธิปไตย” ซึ่งจะ “เสรี” แค่ไหนใน พ.ศ. 2475 และแค่ไหนในกรณีของ
เดนมาร์คใน ค.ศ. 1849? ก็ต้องพิจารณาจากเกณฑ์ของความเป็น “เสรี
ประชาธิปไตย” ซึ่งก็ยังมีเกณฑ์ในลักษณะที่เป็นเกณฑ์พื้นฐาน (basic) และ
เกณฑ์ในลักษณะที่ก้าวหน้า (advance) และแน่นอนว่าหลังการเปลี่ยนแปลง
9
10
การเมืองการปกครองของทั้งสองประเทศ จะพบกับปรากฏการณ์ทางการเมือง
ที่ยศเรียกว่าอาการ “การแกว่งไปแกว่งมา” หรือ “เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา”
(momentum) ซึ่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้ ถ้าวินิจฉัย (diagnose) ภายใต้กรอบ
แนวคิดแบบ “unilinear” ที่เชื่อในแบบแผนพัฒนาการความก้าวหน้า (progress)
ก็อาจจะลงความเห็นได้ว่าเป็นอาการถดถอย (regress) หรือ “ถอยหลังเข้าคลอง”
9 ในประเด็นการพิจารณาความเป็น “เสรีประชาธิปไตย” ในกรณีของเดนมาร์ค ดูได้จาก
บทความของ Tim Knudsen and Uffe Jakobsen, “The Danish Path to Democracy,”
nd
Paper for the 2 ECPR General Conference – Marburg 18-21 September 2003,
Section 20: Historical Sociology of the State, Panel 20-3: Comparative Democratization
in Scandinavia, 1848-1921 และผู้เขียนได้นำประเด็นนี้มากล่าวไว้ในงานวิจัยนี้แล้ว
10 ในกรณีของเดนมาร์คคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1866 และการเพิ่มพระราช-
อำนาจของพระมหากษัตริย์
สถาบันพระปกเกล้า