Page 158 - kpi16607
P. 158
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ตำแหน่งแห่งที่ที่มีทางออกและจุดคานงัด ถนอมสร้างพื้นที่ลุ่มหลงที่หยุ่นตัวในทาง
บวก ค่อย ๆ รื้อสร้างพื้นที่ลุ่มหลงในทางลบ
เส้นทางสู่ความปรองดองมีอุปสรรคสำคัญ ๆ หลายประการ ซึ่งพอสรุป
ได้ดังนี้ ภาคีความขัดแย้งไม่บอกสาเหตุ หรือบอกความขัดกันของเป้าหมายใน
ส่วนลึก ครั้นคนกลางหรือผู้ศึกษาความขัดแย้งจะมาวิเคราะห์ให้ดีสักเพียงใดก็คง
ไม่ดีพอ เพราะเป้าหมายจะเลื่อนไหลอยู่เสมอ ภาคีความขัดแย้งจะสร้างวาทกรรม
เป็นกำแพงรอบ ๆ พื้นที่ลุ่มหลงของตน และใช้วาทกรรมเป็นกระสุนโจมตีพื้นที่ลุ่ม
หลงของอีกฝ่าย แถมยังปิดประตูตายต่อการพูดคุย เมื่อผมชวนให้คนที่เห็นต่างให้
มาพูดคุยกันข้ามขีดแบ่ง คำตอบที่ได้รับจะเป็นในทำนอง “ไม่อยากคุยกับโจร”
“เราเลยจุดที่จะพูดคุยกันแล้ว” “ผมไม่ขัดแย้งกับใครและไม่รู้ว่าจะไปปรองดอง
กับใคร” “คุยไปก็ไม่ได้ผลและไว้ใจไม่ได้ว่าเขาจะทำตามที่พูด” “แทนที่จะคุย
เรื่องปรองดองเราเลือกประเด็นรูปธรรมมาคุยกันดีกว่า”
ฯลฯ อันที่จริง เราอาจ
ตั้งใจเพียงแค่อยากให้คุยกันก่อน โดยไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนหรือตั้ง
1 0 ความหวังใด ๆ เมื่ออธิบายอย่างนี้ คำตอบที่ได้ก็คือ “ถ้าอย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่า”
ผมเปรยว่าตอนที่คุยกับพวกเดียวกันเห็นออกรสชาติเหมือนไม่มีวันเบื่อ คำตอบ
ก็คือ “เราจะต้องวิเคราะห์พวกมันให้หมดไส้หมดพุง จึงจะเปิดโปงแผนเลวร้าย
ที่ซ่อนเร้นของพวกมันได้” ผมเลยนึกถึงกรณีจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งก็เป็น
ความขัดแย้งทางสังคมที่ยืดเยื้ออีกความขัดแย้งหนึ่ง ฝ่ายขบวนการที่ต่อสู้
เพื่อเอกราชต้องการปิดประตูตายต่อทางออกอื่นใดที่ไม่นำไปสู่เป้าหมายของ
เอกราช จึงสอนต่อ ๆ กันเป็นสูตร 5 ไม่ คือ (1) ไม่รับฟังข้อมูลจากรัฐไทย
(2) ไม่ประนีประนอม (3) ไม่ไปมาหาสู่กัน (4) ไม่รับเรื่องเขตปกครองพิเศษ
(5) ไม่รับมติของรัฐสภาไทย ถ้าท่องสูตรนี้บ่อย ๆ ก็จะกลายมาเป็นวาทกรรม
ที่ปิดประตูการพูดคุย และเดินหน้าด้วยคติ DMA ที่ปิดประตูการปรองดองเลย
ทีเดียว
สถาบันพระปกเกล้า