Page 157 - kpi16607
P. 157
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ดีแต่พูด เข่นฆ่าประชาชน ไม่เคารพเสียงประชาชน เป็นต้น เมื่อประกอบสร้าง
วาทกรรมความขัดแย้งด้วยชิ้นส่วนโมเซอิคขึ้นมาแล้ว ชิ้นส่วน (เรื่องเล่า อุปมา)
ใดเข้าไม่ได้กับลายภาพเชิงวาทกรรมของเรา ก็จะถูกปฏิเสธว่าไม่จริง ถูกหลอก
หรือฟังเพียงเพื่อคิดหาเรื่องเล่ามาแก้ลำ ชิ้นส่วนที่ถูกกับลายภาพของเราก็จะมาให้
กำลังใจ และตอกย้ำความเชื่อว่าเราเป็นฝ่ายถูกให้แน่นหนายิ่งขึ้นไปอีก
มีศัพท์ทางวิชาการอยู่คำหนึ่งคือ attractor ซึ่งขอแปลว่า “พื้นที่ลุ่มหลง”
ลุ่มหมายถึงสถานที่ที่น้ำ (ซึ่งเป็นอุปมาของความคิด) จะไปรวมกัน ส่วนหลง
11
หมายถึงสถานที่ที่เข้าไปแล้วจะหลงติดอยู่ในนั้น ปีเตอร์ โคลแมนและคณะ ให้คำ
อธิบายแนวคิดนี้ว่า “ในกรณีที่ไม่มีพื้นที่ลุ่มหลง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาจ
เปลี่ยนแปลงได้เมื่อตอบสนองต่ออิทธิพลหรือพลังใดที่ประสบ อย่างไรก็ดี เมื่อ
มีพื้นที่ลุ่มหลงมากำกับพลวัตทางความคิดและพฤติกรรม บุคคลหรือกลุ่ม
บุคคลจะแสดงออกซึ่งการต้านทานอย่างแรงกล้าต่ออิทธิพลภายนอกที่มิฉะนั้น
จะมาส่งเสริมแบบแผนความคิดและพฤติกรรมที่ต่างออกไป” พื้นที่ลุ่มหลงเป็น
ปัจจัยที่ทำให้ความซับซ้อนของความขัดแย้งพังทลายลงจนเหลือเป็นความเรียบง่าย 14
12
ที่ไม่ได้ความ ซึ่งเข้าสูตร DMA ของโจฮัน กัลตุง คำคำนี้ย่อมาจาก Dualism-
Manicheism-Armageddon ซึ่งขอแปลง่าย ๆ ตามภาษาผมว่า ภาวะเป็นสอง-
ฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร-ต้องสู้ให้แตกหัก แนวคิดเรื่องวาทกรรม พื้นที่ลุ่มหลงและ
DMA ช่วยอธิบายว่าทำไมในกรณีความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ การคลี่คลายความขัดแย้ง
หรือการสร้างความปรองดองจึงยากนัก เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่า เราเป็นฝ่ายถูก
และจะต้องเอาชนะให้จงได้ แม้ว่าบางที เราเพียงแต่ติดกับดักของวาทกรรมอยู่ใน
พื้นที่ลุ่มหลงนั่นแหละ โคลแมนและคณะได้เสนอแนะแนวทางกว้าง ๆ เพื่อออก
จากพื้นที่ลุ่มหลงคือ ให้วิเคราะห์นิเวศเชิงพลวัตของความขัดแย้งให้ชัด มองหา
11 Peter T. Coleman, Robin Vallacher, Andrea Bartoli, Andrzej Nowak, Lan Bui-
Wrzosinska 2011, “Navigating the Landscape of Conflict: Applications of Dynamical
Systems Theory to Addressing Protracted Conflict.” In The Non-linearity of Peace
Processes, Daniela Krppen, Norbert Ropers, Han J. Giessmann eds. pp. 42. Michican:
Barbara Budruch Pubishers
12 Johan Galtung 2002. Rethinking Conflict: the Cultural Approach. Council of
Europe, Strasbourg. pp. 24-25.
สถาบันพระปกเกล้า