Page 160 - kpi16607
P. 160
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
องค์กรหลายองค์กรทั้งในภาครัฐและภาคประชาสังคมเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการ
รับรู้ว่าเป็นองค์กรภาครัฐซึ่งอาจดำเนินการไปอย่างไม่มีจิตอาสาเท่าที่ควร หากทำ
ไปตามกฎระเบียบที่มี ในปัจจุบัน เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งปีแล้วหลังการ
รัฐประหารที่อ้างความชอบธรรมส่วนหนึ่งว่าจะมาช่วยสร้างความปรองดอง แต่ก็
ยังไม่เห็นความคืบหน้าที่ชัดเจน
อันที่จริง จะไปต่อว่าภาครัฐเสียทีเดียวคงไม่ได้ ภาคประชาสังคมเอง เมื่อ
เผชิญกับความขัดแย้ง ที่ผมตั้งสมมุติฐานว่าอยู่ในระดับความชอบธรรมและคุณค่า
ก็แตกแยกกันเอง และยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถผนึกกำลังกันเป็นเครือข่าย
องค์กรเอกชนเพื่อความปรองดองกับเขาได้เลย นับประสาอะไรจะไปรวมตัวกับ
ฝ่ายธุรกิจเอกชนหรือกับฝ่ายรัฐ เป็นอันว่าทุกฝ่ายต่างทำอะไรไม่ค่อยถูกอยู่ใน
ขณะนี้
โครงสร้างพื้นฐานเพื่อความปรองดองที่รวมทุกฝ่ายจะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย
1 2 หรือไม่เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ในที่นี้ขอเสนอแนะในเบื้องต้นเท่านั้นว่า เรา
ควรพยายามสร้างเวทีการสานเสวนาหรือการถกแถลง ซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง
แบบวนเป็นวง แบบซ้ำ ๆ แม้ยังไม่เห็นผลในทันทีก็ยังต้องทำต่อไป วัตถุประสงค์
ในเบื้องต้นคือสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ แล้วค่อย ๆ คุยกันในเรื่อง
เนื้อหา แรกเริ่มก็อาจเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเป้าหมายสำคัญที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในใจ
รวมถึงความหวัง ความห่วงกังวล สักพักความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้หากเรายอมรับ
ความเสี่ยงและเปิดเผยจุดอ่อนของตน เราอาจพูดคุยกันถึงเป้าหมายเช่นเรื่องของ
ประชาธิปไตยที่ผู้ปกครองขึ้นต่อประชาชน แต่บางคนอาจเน้นเป้าหมายอื่นที่ให้
ความสำคัญมากกว่าในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรัฐที่เข้มแข็ง การปกครองของ
กฎหมาย การเติบโตทางเศรษฐกิจ การกระจายอำนาจ การลดความเหลื่อมล้ำ
ความเป็นพหุนิยม ฯลฯ ในกระบวนการเช่นนี้ เราอาจร่วมกันสร้างพื้นที่ลุ่มหลงที่
เป็นบวก ที่แผ่กว้างและรวมหลายฝ่ายมากขึ้น เราอาจร่วมกันสร้างวาทกรรมการ
ปรองดองให้ทรงพลังกว่าวาทกรรมแยกฝ่าย เป็นต้น
สถาบันพระปกเกล้า