Page 151 - kpi16607
P. 151

ดุลอำนาจ   ในการเมืองการปกครองไทย





                   เสรีภาพและความเสมอภาค บางคนคล้อยตามวาทกรรม “ชาติ ศาสนา

                   พระมหากษัตริย์” และวาทกรรม “คนดีไม่ขี้โกง” รวมทั้งอาจมีประเด็นที่ยอม
                   ไม่ได้ เช่น เห็นว่าตนต้องรับภาระภาษี แต่นักการเมืองเอาเงินภาษีนั้นไปให้คนจน
                   อย่างเอาอกเอาใจจนเกินฐานะทางการเงินของประเทศ ฯลฯ


                         ส่วนชนชั้นกลางในชนบท ซึ่งบางทีก็เรียกว่าชนชั้นกลางใหม่ มองว่าตนเป็น
                   ฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด เพราะการตัดสินใจใด ๆ จะกระทำโดยผู้มีอำนาจ (ไม่ว่า

                   ทหารหรือพลเรือน) ซึ่งอยู่ที่ส่วนกลางเป็นส่วนใหญ่ งบประมาณและบริการ
                   สาธารณะยังไม่กระจายสู่ชนบทเท่าที่ควร จึงมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการ

                   ถือครองทรัพย์สินอย่างมโหฬาร อีกประการหนึ่ง ชนชั้นกลางในชนบทบางคนอาจ
                   รู้สึกว่าตนไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าที่ควร ถูกคนเมืองมองด้วยสายตาว่าต่ำต้อย
                   ไม่รู้มารยาททางสังคม ทำอะไรก็เคอะเขินไปหมด


                         ชนชั้นกรรมาชีพ ได้แก่คนงานในโรงงาน ซึ่งมีประมาณ 10 ล้านคน
                   กับชาวนาชาวไร่ และคนที่ทำงานภาคเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งมีจำนวนประมาณ            143
                   20 ล้านคน ยังต้องดิ้นรนอยู่ทุกวันเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ มักขาดการ

                   รวมกลุ่ม แม้จะมีสหภาพแรงงาน หรือสมาพันธ์ชาวนาชาวไร่ ฯลฯ แต่ก็ไม่
                   สามารถเสนอหรือมีข้อเรียกร้องเชิงนโยบายที่ชัดเจนได้ ประกอบกับ รัฐบาล

                   ก็พยายามตอบสนองความต้องการของชนชั้นกรรมาชีพในระดับหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะ
                   ไม่ใช่ในระดับโครงสร้างที่สำคัญ แต่ก็เพียงพอที่จะลดระดับความคับข้องใจ จนไม่
                   เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องมาเสี่ยงกับการต่อสู้ทางการเมืองที่อาจมีอันตรายได้
                   อีกประการหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจเริ่มเติบโต รายได้ของกรรมกร ชาวไร่ชาวนาเริ่มสูง

                   ขึ้น ลูกหลานมีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น มีการเคลื่อนตัวทางสังคม ส่วนหนึ่ง
                   ผันตัวเป็นชนชั้นกลาง กรรมาชนส่วนหนึ่งตื่นตัวทางการเมืองและพอใจกับสิทธิ
                   การเลือกตั้งที่ตนมี ที่ทำให้นักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้งต้อง

                   เกรงใจอยู่บ้าง อีกประการหนึ่ง มีชนชั้นผู้ยากไร้กลุ่มใหม่มาแทนที่ ได้แก่แรงงาน
                   ข้ามชาติซึ่งยอมรับการขาดสิทธิทางการเมืองของตนโดยดุษฎี ประกอบกับภาค
                   ประชาสังคมที่แต่เดิมเคยมาช่วยเพราะมีความคิดทางชนชั้น เริ่มให้ความสนใจแก่

                   ประเด็นที่หลากหลายขึ้น เช่น สิทธิสตรี สิ่งแวดล้อม ดังนั้น ชนชั้นกรรมาชีพ
                   จึงไม่ใช่ภาคีความขัดแย้งที่มีบทบาทสำคัญในขณะนี้





                                                                                   สถาบันพระปกเกล้า
   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155   156