Page 150 - kpi16607
P. 150
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
มาถึงความขัดแย้งปัจจุบัน กล่าวได้ว่าสังคมไทยส่วนหนึ่งมีภยาคติเป็น
เจ้าเรือน เช่น ฝ่ายนิยมเจ้ากลัวการล้มเจ้า ทหารที่ทำรัฐประหารกลัวว่าจะควบคุม
สถานการณ์ไม่ได้ กลัวเสียของ พรรคการเมืองบางพรรคอาจกลัวแพ้การเลือกตั้ง
ซ้ำซาก พรรคการเมืองบางพรรคอาจกลัวโดนฝ่ายอำมาตย์เล่นงานไปทุกเรื่อง
ส่วนทุนใหม่ ทุนเก่า ทุนใครทุนมัน อาจระแวงกันว่าใครจะเข้าถึงผู้มีอำนาจ และ
กลัวว่าผู้มีอำนาจจะหนุนเฉพาะทุนที่อยู่ข้างอำนาจ ในด้านของสื่อก็กลัวว่าจะถูก
ปิด นักวิชาการไม่กล้าใช้ความคิดและเสรีภาพทางวิชาการ ข้าราชการกลัวถูกย้าย
กลัวทำผิดระเบียบหรือคำสั่งใหม่ ๆ ที่เพิ่มมาตลอดเวลา ฯลฯ
ที่กล่าวมาแล้วนี้อาจฟังดูน่าหดหู่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะผมได้เลือกนำเสนอ
เฉพาะมุมมองทางวัฒนธรรมที่อาจอธิบายที่มาของความขัดแย้ง หรือความรุนแรง
ส่วนวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการปรองดองนั้น จะนำเสนอเมื่อกล่าวถึงมิติทาง
วัฒนธรรมเพื่อการปรองดองต่อไป
142 5. การวิเคราะห์ตัวละครและการแก้ที่สาเหตุ
เมื่อมีความขัดแย้ง เรามักจะถามว่า ใครขัดแย้งกับใคร (ใครคือตัวละคร)
ในเรื่องอะไร (สาเหตุคืออะไร) ในเรื่องการปรองดองก็เช่นกัน เราอาจถามว่า ใคร
จะปรองดองกับใคร ทำอย่างไรจึงจะทำให้อุปสรรคต่อความปรองดองเจือจางไป
การวิเคราะห์ตัวละครในที่นี้จะเป็นแบบคร่าว ๆ ตัวละครฝ่ายหนึ่งคือฝ่าย
อนุรักษ์นิยม ซึ่งประกอบด้วย ชนชั้นนำ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เจ้าของปัจจัยการ
ผลิต เช่น เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ เจ้าของโรงงาน เจ้าของกิจการ ฯลฯ พวกเขามี
ความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงจึงได้การรวมตัวกันอย่างมีพลัง ตัวละครอีกฝ่าย
หนึ่งได้แก่ชนชั้นกลาง ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมตัดสินใจทาง
การเมืองและสนับสนุนเสรีประชาธิปไตยที่ให้หลักประกันในสิทธิเสรีภาพแก่ตน
แต่มาถึงตอนนี้ ชนชั้นกลางกลับแตกแยก บางคนอาจสนับสนุนประชาธิปไตย
อย่างผิวเผินและเลียนแบบกัน บางคนสนับสนุนเพราะมีประสบการณ์กับความ
ล้มเหลวของอำนาจนิยมมาก่อน บางคนเห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เสถียรภาพทางการเมือง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้นสำคัญกว่า
สถาบันพระปกเกล้า