Page 124 - kpi16607
P. 124
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 กำหนดไว้ว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ฉบับถาวรจะต้องจัดทําร่างรัฐธรรมนูญให้มี “กลไกที่มีประสิทธิภาพในการปรับ
โครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
อย่างยั่งยืน และป้องกันการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งสร้างความนิยมทาง
การเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและ
ประชาชนในระยะยาว” และให้มี “กลไกที่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของ
รัฐให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าและตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน
โดยสอดคล้องกับสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ และกลไกการ
ตรวจสอบและเปิดเผยการใช้จ่ายเงินของรัฐที่มีประสิทธิภาพ” ตามลำดับ
ผู้เขียนมีความเห็นว่า การบัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐในรัฐธรรมนูญ
อย่างละเอียดไม่ว่าจะอยู่ในหมวดไหน ทั้งในเชิงบวกและในเชิงลบล้วนเป็นปัญหา
ทั้งสิ้น ดังที่ รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ (2546) กล่าวไว้ในหนังสือ “เศรษฐศาสตร์
รัฐธรรมนูญ” ว่า “การไปบัญญัติแนวนโยบายของรัฐในรัฐธรรมนูญนั้น มันมี
11 ปัญหา คือมันเป็น dilemma ถ้ามันมีสภาพบังคับคือรัฐบาลต้องทำตาม มันจะ
ไปเป็นการจำกัดนโยบาย แล้วพรรคการเมืองในการนำเสนอนโยบาย แล้วไป
จำกัดประชาชนในการเลือก แต่ถ้ามันไม่มีสภาพบังคับ มันก็กลายเป็นเพียง
ไส้ติ่งของรัฐธรรมนูญ”
ที่ผ่านมาแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐในรัฐธรรมนูญแทบไม่มีผลในทาง
ปฏิบัติ เพราะไม่มีสภาพบังคับ การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
2550 กำหนดให้รัฐต้องจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินสอดคล้องกับแนว
นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดสภาพบังคับที่มีประสิทธิผลมากขึ้นแต่
อย่างใด ส่วนที่พบว่า เกิดผลในทางปฏิบัติมีเพียง 2 เรื่อง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการ
กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์กรคือ สภาพัฒนาการเมือง และคณะกรรมการปฏิรูป
กฎหมายเท่านั้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า หากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ฉบับถาวร พยายามที่จะป้องกันความเสียหายจาก “นโยบายประชานิยม” โดย
พยายามวางกลไกเพื่อสกัดกั้นนโยบาย “ที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจ
สถาบันพระปกเกล้า