Page 309 - kpi12821
P. 309
ณรงค์เดช สรุโฆษิต
กษัตริย์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่
เป็นนิจ... [หากกำหนดให้พระองค์ – เพิ่มโดยผู้เขียน] ทรงมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ย่อมจะก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกันกับหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่
เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์” 121
หลักพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองและหลักความเป็นกลาง
ทางการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างไว้ข้างต้น ไม่ปรากฎในบทบัญญัติมาตราใดๆ ใน
รัฐธรรมนูญ หากแต่ถือเป็นหลักการหนึ่งของหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
122
ทรงเป็นประมุข อันเป็นหลักการระดับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ หรือเป็น
“คุณค่าพื้นฐาน” ของรัฐธรรมนูญไทย จากกรณีตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่า ศาล
รัฐธรรมนูญไทยตีความคำว่า “บุคคล” ตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเทียบ
ได้กับมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน โดยพิจารณาถึงโครงสร้างพื้นฐานของ
รัฐธรรมนูญทั้งระบบ และเปรียบเทียบระดับคุณค่าทางรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติ
ที่ขัดกัน จากนั้นจึงวินิจฉัยตีความให้บทบัญญัติหนึ่ง ๆ สอดคล้องกับคุณค่าพื้นฐาน
ดังกล่าวนั้น ทั้งนี้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญไทยจะมิได้ให้อรรถาธิบายในเชิงทฤษฎีไว้โดย
123
ชัดแจ้งดังเช่นในเนื้อหาคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันที่ยกมาอ้างอิงข้างต้น
ก็ตาม แต่ก็สามารถอนุมานถึงนิติวิธี “การตีความในเชิงโครงสร้างกฎหมาย” นี้ได้
ส่วนปัญหาว่า อะไรคือ หลักการอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
ซึ่งจะมีสภาพบังคับเหนือกว่าบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆ นั้น ก็เป็นดังเช่นที่กลุ่ม
5 คณาจารย์อธิบายไว้ คือ ให้พิจารณาจากความในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเอง ในเมื่อ
รัฐธรรมนูญรับรองไว้ในมาตรา 291 (1) วรรคสองว่า “ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้” ก็สะท้อน
ชัดอยู่ในตัวเองว่า แม้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจต่อเนื่องจากอำนาจ
121 นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังอาศัยจารีตประเพณีมาอธิบายประกอบการวินิจฉัยดังกล่าวด้วย; ศร. ที่ 6/
2543 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 – เรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
ขอบเขตการใช้บังคับตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ [รจ. ล. 117 ต.68ก (19 กรกฎาคม 2543) น. 1 – 110]
น. 6.
122 แม้ไม่ปรากฏชัดแต่ก็สะท้อนจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 3 มาตรา 8 และมาตรา 195.
123 สมมุติต่อไปอีกว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างเคร่งครัดตามลายลักษณ์อักษรให้ ทุกพระองค์ซึ่งล้วน
แล้วแต่มี “สภาพบุคคล” ต้องมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ก็คงนำมาซึ่งผลการตีความกฎหมายที่พิลึก และดึงดูด
คำวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงหนักหน่วงเป็นแน่