Page 306 - kpi12821
P. 306

แนวทางปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง




                             กล่าวโดยสรุป การที่ กกต. ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทนั้น ไม่ได้ขัดต่อ
                   หลักการแบ่งแยกอำนาจ หากแต่การตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้การใช้อำนาจ

                   ดังกล่าวของ กกต. “เป็นที่สุด” และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบขององค์กร
                      110
                   ศาล  นั่นต่างหากที่เป็นการไม่เคารพต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันเป็นพื้นฐานหนึ่ง
                   ของหลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐของไทย

                        3.7  ศาลรัฐธรรมนูญเลือกใช้นิติวิธีการตีความรัฐธรรมนูญ

                           ที่ไม่เหมาะสม

                             ในการตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรคสองในคดี
                   ยุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรคดังกล่าวนั้น ศาลรัฐธรรมนูญใช้นิติวิธีการตีความตาม
                   ลายลักษณ์อักษร (Textual Interpretation) อาทิ การตีความ คำว่า “เป็นที่สุด” ของ
                   คำวินิจฉัยของ กกต. ในการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครตามรัฐธรรมนูญ มาตรา
                   239 ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบหรือเปลี่ยนแปลงใน
                   เนื้อหาและดุลพินิจในคำวินิจฉัย...ดังกล่าวได้”  ประกอบกับการตีความโดยคำนึงถึง
                                                           111
                   เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญในการบัญญัติความมาตรา 237 (Original-Intent

                   Interpretation) อาทิ การอารัมภบทในตอนต้นของคำวินิจฉัยถึงเจตนารมณ์ของ
                   รัฐธรรมนูญและในอีกหลายตอนว่า “มีเจตนารมณ์จะให้การเลือกตั้งของประเทศเป็น

                   ไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม...จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและกำหนดวิธีการ
                   ลงโทษไว้อย่างชัดเจนและเข้มงวด...เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อสิทธิซื้อเสียง... [เพราะถือ–
                   เพิ่มโดยผู้เขียน] เป็นเรื่องร้ายแรง...” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตีความให้กรรมการ
                   บริหารพรรคทุกคนต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยอัตโนมัติเมื่อศาลวินิจฉัยให้ยุบ
                   พรรคการเมืองนั้น  อันนำมาซึ่งผลของการตีความและบังคับใช้กฎหมายที่มีลักษณะ
                                  112

                      110   น่าเสียดายที่แม้แต่ศาลฎีกาเองก็ยอมจำนนต่อบทบัญญัติมาตรา 239 วรรคหนึ่งดังกล่าว ดังปรากฎใน
                   คำสั่งศาลฎีกาที่ 35/2551 ลงวันที่ 11 มกราคม 2551; ซึ่งก็น่าขบคิดเหมือนกันว่า หากบรรพตุลาการศาลไทย
                   ในอดีตที่ท่านวางหลักไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ 646-647/2510 ได้แก่ อาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ อาจารย์ศิริ มลิลา
                   และอาจารย์จินตา บุญยอาคม ร่วมเป็นองค์คณะผู้พิพากษาในคดีเหล่านี้ ท่านจะตีความคำว่า “เป็นที่สุด”
                   ในมาตรา 239 วรรคหนึ่ง เช่นไร.
                      111   คดีพรรคชาติไทย, เรื่องเดิม, น. 97; และคดีพรรคมัชฌิมาธิปไตย, เรื่องเดิม, น. 15; หรือการตีความ
                   คำว่า “ให้ถือว่า” เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด แม้ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ ก็เป็นการตีความ
                   ตามลายลักษณ์อักษรเช่นกัน; โปรดดู คดีพรรคชาติไทย, เรื่องเดิม, น. 98, และ 100; คดีพรรคมัชฌิมาธิปไตย,
                   เรื่องเดิม, น. 16 และ 19; คดีพรรคพลังประชาชน, เรื่องเดิม, น. 23 และ 26.
                      112   คดีพรรคชาติไทย, เรื่องเดิม, น. 96, และ 100 โดยลำดับ; คดีพรรคมัชฌิมาธิปไตย, เรื่องเดิม, น. 14
                   และ 19 โดยลำดับ; คดีพรรคพลังประชาชน, เรื่องเดิม, น. 20, และ 26 โดยลำดับ; และโปรดเทียบ คำอภิปราย
                   ของนายประพันธ์ นัยโกวิท รองศาสตราจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายจรัญ ภักดีธนากุล ต่อที่ประชุมสภาร่าง
                   รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 ใน สมคิด เลิศไพฑูรย์, การยุบพรรคการเมืองในประเทศไทย หนังสือที่
                   ระลึก 68 ปี รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร, เรื่องเดิม, น. 47 – 57.
   301   302   303   304   305   306   307   308   309   310   311