Page 300 - kpi12821
P. 300

แนวทางปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง




                   หลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมไทย 89


                             หลักการแบ่งแยกอำนาจที่ยอมรับกันอย่างสากลทั่วไป จะแบ่งลักษณะการ
                   ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ลักษณะหรืออีกนัยหนึ่งคือ 3 หน้าที่ อันได้แก่ การใช้

                   อำนาจกำหนดกฎเกณฑ์ที่มีผลเป็นการทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงกรณีหรือตัวบุคคล หรือ
                   อำนาจในการออกกฎหมาย การใช้อำนาจบังคับใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปนั้นให้มีผลใช้บังคับ
                   เฉพาะราย หรืออำนาจบริหาร และสุดท้าย การใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท ทั้งข้อ
                   พิพาทที่มาจากการกระทำของรัฐและที่มาจากการกระทำของเอกชน โดยอาศัย
                   กฎเกณฑ์ทั่วไปเป็นมาตรวัด หรืออำนาจตุลาการ โดยปกติ อำนาจแรกนั้นมอบหมายให้

                   รัฐสภาอันประกอบไปด้วยผู้แทนของประชาชนเป็นผู้ใช้ อำนาจที่สองกำหนดให้เป็น
                   หน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหารเป็นผู้จัดการ และอำนาจที่สามถือเป็นหน้าที่
                   ของศาล แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า การใช้อำนาจทั้งสามลักษณะนี้จะแบ่งแยกกันโดย

                                                            90
                   เด็ดขาด องค์กรหนึ่งๆ อาจใช้อำนาจอื่นด้วยก็ได้  ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้การใช้อำนาจ
                                                                                 91
                   หลัก (Primary Function) ของแต่ละองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น คณะ
                   รัฐมนตรีอาจมีอำนาจในการวางกฎเกณฑ์ทั่วไปในรูปกฎหมายลำดับรองหรือกฎ
                   (Secondary Legislation) เพื่อให้การทำหน้าที่บังคับใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปอันเป็น

                   กฎหมายแม่บท (Primary Legislation) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น


                             การใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทก็เช่นกัน โดยหลักเป็นหน้าที่ของ
                   องค์กรศาล แต่ก็มีอยู่เหมือนกันที่รัฐสภาทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทบางอย่างในวงงาน

                                 92
                   นิติบัญญัติเสียเอง  และยิ่งในยุคปัจจุบันที่สังคมสลับซับซ้อนมากขึ้น บทบาทหน้าที่ของ
                   หน่วยงานของฝ่ายบริหารในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ การใช้

                      89   แม้รัฐธรรมนูญไทย ม. 3 จะใช้คำว่า “หลักนิติธรรม” ซึ่งเป็นคำแปลที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามาจากคำว่า
                   “Rule of Law” ของอังกฤษก็ตาม ในประเด็นนี้ ศาตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร เห็นว่า ไม่เหมาะสมที่จะนำ
                   หลักนิติธรรมของตะวันตกมาใช้ แต่สมควรจะพัฒนาหลักนิติธรรมในแบบของไทยขึ้นมาเอง; ธานินทร์ กรัยวิเชียร,
                   เรื่องเดิม, น. 19 - 23.

                      90   ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์, เรื่องเดิม, น. 42 - 45; โปรดดู วิษณุ เครืองาม, กฎหมายรัฐธรรมนูญ,
                   (กรุงเทพฯ: นิติบรรณาการ, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2530) น. 226 - 244; และเกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์, หลักพื้นฐาน
                   กฎหมายมหาชนว่าด้วย รัฐ รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, พิมพ์ครั้งที่ 4, 2552) น. 243 -270;

                      91   ศาสตราจารย์ Aharon Barak แห่งมหาวิทยาลัยเยล อดีตประธานศาลฎีกาอิสราเอล อธิบายในทำนอง
                   เดียวกันว่า “การกำหนดให้องค์กรที่มีหน้าที่หลักอย่างหนึ่งใช้อำนาจในอีกลักษณะหนึ่งด้วยนั้น จะต้องไม่เป็น
                   อุปสรรคต่อแกนกลาง (Core) ของการปฎิบัติหน้าที่หลักดังกล่าว”; Aharon Barak, เรื่องเดิม, น. 37.

                      92   เช่น การวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเยอรมัน (Bundesstag) สิ้นสมาชิกภาพหรือไม่ เป็นอำนาจ
                   ของ Bundesstag เอง แต่ทั้งนี้ อาจอุทธรณ์ต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ตามรัฐธรรมนูญเยอรมัน (Grundgesetz –
                   Basic Law) มาตรา 41.
   295   296   297   298   299   300   301   302   303   304   305